top of page

CANADIAN ROCKIES banff :9ทะเลสาบริมป่าสนบนภูเขาหิมะ

Updated: May 17, 2020



ในทุกๆ ไมล์ที่รถเคลื่อนไปในอุทยาน นอกหน้าต่างจะมีแต่ภาพวิวทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และงดงามเสมอ เต็มไปด้วยทะเลสาบสีฟ้าสด สีมรกต และสีเทอร์ควอยซ์จากธารน้ำแข็ง มีภูเขาหิมะและป่าสนสีเขียวเข้มสลับกับต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี


ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนยกแคเนเดียนร็อกกี้ (Canadian Rockies) ให้เป็นหนึ่งในเส้นทางโร้ดทริปที่สวยที่สุดในโลก ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ในประเทศที่กว้างใหญ่และผู้คนที่ยิ้มแย้มทำให้เผลอตกหลุมรักแคนาดาได้ไม่ยากเลย จำได้ว่าตัวเองเห็นรูปเทือกเขาร็อกกี้ในแคนาดาครั้งแรกก็เมื่อสมัยเรียนมัธยม หลังจากวันนั้นมันก็อยู่ในอันดับต้นๆ ของลิสท์ที่เที่ยวที่อยากไปมาตลอด แต่กว่าจะได้มาจริงๆ ก็รอเป็นสิบกว่าปีเลยค่ะ


ทริปนี้ทั้งทริป เรียกว่ามีแต่ขับรถเลาะไปตามแนวเทือกเขาร็อกกี้ทั้งฝั่งแคนาดาและอเมริกา โดยแบ่งเป็นการเที่ยวฝั่งแคนาดาก่อน 7 วัน (ซึ่งจะเล่าในครั้งนี้) แล้วข้ามไปเที่ยวต่อฝั่งอเมริกาอีก 8 วัน (เดี๋ยวไว้เล่าต่อในตอนหน้านะคะ หลักๆ คือ Yellowstone อุทยานเดียวในอเมริกาที่อยากไป)



 

Vancouver


หลังจากการเดินทางกว่า 33 ชั่วโมง เพราะพริมเลือกบิน ANA เพื่อทรานสิทโตเกียว จะได้หาเรื่องกินช้อปแบบเช้าจรดเย็น ในที่สุดก็มาถึงแคนาดาสักที สนามบินแห่งเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) นี้มีตัวย่อว่า YVR เห็นแล้วชอบ ...why we are... นี่เป็นเมืองใหญ่โตอันดับต้นๆ ของแคนาดาก็จริง แต่สนามบินกลับไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย แต่การจัดการดีทุกอย่าง มีตู้อัติโนมัติหลายร้อยตู้เพื่อให้ทุกคนทำเรื่องผ่านเข้าเมืองได้ด้วยตัวเองในเวลาสั้นๆ ไม่ต้องเข้าคิวเลยค่ะ แถมประเทศนี้ใจดีแจกวีซ่าเต็มอายุพาสปอร์ตด้วย พอเสร็จออกมากระเป๋าเดินทางก็หมุนมารอเราแล้ว ไม่เคยใช้เวลาที่สนามบินไหนน้อยขนาดนี้มาก่อนเลย


ที่พักในแวนคูเวอร์นี่แพงเหลือเกิน เตียงสองชั้นในห้องอับๆ ที่ได้มายังปาไปหลายพัน แต่แรกตามแผนคือมาถึงก็เริ่มเที่ยวเมืองเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะนั่งเครื่องบินนานไป หรือเพราะเดินมาราธอนเที่ยวโตเกียว 16 ชั่วโมงไม่ได้พัก ตอนนี้ข้อเท้าทั้งสองข้างเลยบวมซะจนแทบยัดกลับเข้าไปในรองเท้าอีกไม่ได้ วันนี้เลยได้แต่นอนเล่นอยู่บนเตียง นอนกินพิซซ่าอร่อยๆ ด้วย อาหารที่หาได้ทุกหัวมุมถนนและถูกที่สุดในเมืองน่าจะเป็นพิซซ่านี่แหละค่ะ


แวนคูเวอร์เป็นเมืองน่าอยู่มากกว่าน่าเที่ยวนะสำหรับพริม มันเต็มไปด้วยสวนสาธารณะใหญ่ๆ ที่แทบจะเป็นป่าขนาดย่อมๆ ถนนหนทางกว้างขวาง เดินสบาย รถน้อย อากาศดี เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อข้อเท้ายุบลงนิดหน่อย เลยมีโอกาสเดินสำรวจเมืองและไปเที่ยวสวนสาธารณะชื่อดัง ...

แล้วเย็นนั้นก็บินจากแวนคูเวอร์สู่เมืองคาลการี (Calgary) เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เทือกเขาร็อกกี้ที่สุด เพราะจะเช่ารถที่เมืองนี้เพื่อเริ่มต้นโร้ดทริปค่ะ จริงๆ ถ้าใครมีเวลาเยอะ อยากแนะนำให้ขับจากแวนคูเวอร์มาเลย เพราะตามรายทางยังมีอุทยานอื่นๆ รอให้แวะอีกเพียบ

 



Canadian Rockies


คือ กลุ่มเทือกเขาร็อกกี้ฝั่งแคนาดาที่ตั้งอยู่ระหว่างรัฐ Alberta และ British Columbia ภายในมีอุทยานสวยๆ รวมกันอยู่ถึง 5 อุทยาน แต่ทริปนี้พริมเลือกเที่ยวแค่ 3 อุทยานแรกก่อนค่ะ


  • Banff แบนฟ์

  • Yoho โยโฮ

  • Jasper แจสเปอร์

  • Kootenay คูเทเนย์

  • Waterton วอเทอร์ทัน


การขับรถเที่ยวเองถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเที่ยวที่นี่ พริมวางแผนมาแค่ 4 วันสำหรับโซนอุทยานของแคนาดา เพราะคิดว่าครอบคลุมที่เที่ยวที่อยากไปหมดแล้ว แต่ละวันวางไว้หลวมๆ แล้วนะ แต่พอเจอความสวยของที่นี่เข้าไป แผนเที่ยวที่มีก็รวนหมด ดังนั้นอยากแนะนำว่าควรเผื่อเวลาลงไปเยอะๆ นะคะ เพราะนอกจากจุดหมายที่ปักหมุดว่าต้องไป ระหว่างทางยังเต็มไปด้วยวิวสวยๆ และทะเลสาบที่เยอะซะจนเหนื่อยจะจำชื่อ แถมบางครั้งคุณต้องอยากจอดแวะชมวิวข้างทางแม้จุดนั้นจะไม่ได้มีชื่อมีป้ายอะไรเลยด้วยแน่ๆ


เนื่องจากเที่ยวแค่ 4 วัน 4 คืนแต่รูปและเรื่องเยอะมหาศาล จึงขอแบ่งเป็น 3 ตอนตามลำดับการเที่ยวนะคะ และถ้ามีโอกาสจะมารีวิวพวกวิธีเที่ยวว่าแพลนทริปนี้ยังไง ใช้งบเท่าไหร่ ไปเมื่อไหร่ดี ที่พัก ที่กิน และทริคต่างๆ อีกทีค่ะ


  1. Banff: Lake Minnewanka

  2. Banff: Gondola

  3. Banff: Lake Louise

  4. Banff: Moraine Lake

  5. Yoho: Lake Emerald

  6. Banff: Bow Lake

  7. Banff: Peyto Lake

  8. Banff: Waterfowl Lake

  9. Jasper: Malinge Lake

  10. Jasper: Medicine Lake

  11. Jaspe: Columbia Icefield

  12. Jasper: Icefield Skywalk


เมื่อรถแล่นมาถึงเขตอุทยาน ก็จะเจอกับป้อมขายบัตรที่ตั้งเรียงกันไปเหมือนบนทางด่วน พริมเลือกซื้อบัตรผ่านเข้าเขตอุทยานแบบ 4 วันและรับแผนที่แจกฟรีมา เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เจอภายในอุทยานล้วนเป็นคนวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยิ้มแย้ม แอคทีฟ มีชีวิตชีวา มีความสุข และดูสนุกกับงานในอุทยานอยู่ไม่น้อย แปลก เที่ยวอุทยานมาก็หลายประเทศไม่เคยเจอฟีลนี้เลยค่ะ มันทำให้ยิ่งอยากรู้ว่าอุทยานแคนาดา หรือ Parc Canada มีดีอะไร







 

Banff: Lake Minnewanka

 

ในบรรรดาหลายร้อยทะเลสาบที่กระจายอยู่ทั่วอุทยานแบนฟ์ ทะเลสาบมินนีวองก้า (Lake Minnewanka) คือที่แรกที่พริมแวะเที่ยว ชื่อของมันในภาษาชนเผ่าพื้นเมืองแคนาดามีความหมายว่า "water of spirits" ...สายน้ำแห่งจิตวิญญาณ

แดดยามบ่ายไม่ได้แรงนักเพราะบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ เดี๋ยวแดด เดี๋ยวครึ้ม ทำให้สีของน้ำในทะเลสาบเปลี่ยนไปมาเป็นสีมรกตบ้าง สีน้ำเงินเข้มบ้าง ตามอารมณ์ของแดด ริมฝั่งมีท่าเทียบเรือลอยน้ำยื่นลงมา ทั้งใช้นั่งเล่นชมวิวและลงเรือพายแคนู แต่ทะเลสาบแรกนี้เราแค่จะมาล่องเรือค่ะ ไว้ไปแคนูกันอีกทีที่อีกทะเลสาบ

พริมได้คิวล่องเรือในรอบบ่าย หลังจากซื้อ ตั๋วชุดคอมโบ ultimate explorer ของ Pursuit ซึ่งทำให้หลายๆ กิจกรรมในแคนาเดียนร็อกกี้นี้ถูกลง เช่นการล่องเรือ การขึ้นกอนโดล่า การขึ้นไปเดินเล่นบนทุ่งน้ำแข็ง


เมื่อถึงเวลาของเราและทุกคนลงเรือเรียบร้อย ไกด์ก็จะบรรยายไปเรื่อยๆ ถึงความเก่าแก่ของมินีวองก้า เคยมีนักสำรวจค้นพบเครื่องมือหินกะเทาะจากยุคหินเข้าที่นี่ด้วย พวกเค้าเอามาสำรวจศึกษา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เอาเข้าพิพิธภัณฑ์แต่ตั้งใจคืนกลับธรรมชาติไป รวมถึงเล่าเรื่องสัตว์ป่าไปเรื่อยๆ จนทำให้พริมเลิกสนใจมองน้ำ แต่เริ่มมองสูงขึ้นไปบนภูเขาแทน หวังจะได้เจอหมีกริซลี่หรือแพะภูเขาสักตัว

บนเรือหนาวอย่างถึงที่สุด อากาศเลขตัวเดียวเมื่อยืนบนฝั่งดูธรรมดาสบายๆ แต่พอเรือพาแล่นเข้าไปในทะเลสาบที่มีภูเขาสูงขนาบข้าง มันกลับหนาวจนสั่น จนต้องหดเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิเพราะมือเท้าชาไปหมด หน้าต่างกระจกใสบานใหญ่รอบลำเรือไม่ได้ช่วยกันลมเท่าไหร่ แต่ก็ยังโชคดีกว่านักท่องเที่ยวบางคนที่เข้ามาจับจองที่นั่งด้านในไม่ทัน เพราะต้องออกไปนั่งท้ายเรือ เห็นห่มเสื้อกันหลายชั้นและนั่งก้มหน้ากอดกันกลมไม่ดูวิวอีกเลย

เลคมินนีวองก้ามีรูปร่างที่ยาวๆ แคบๆ เลยให้ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องเข้าไปในฟยอร์ดมากกว่าจะเป็นทะเลสาบกว้างๆ ที่คุ้นเคย ซึ่งที่จริงน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ก็ไหลมาจากธารน้ำแข็งบนภูเขาที่ล้อมรอบทะเลสาบอยู่ บนเขามีทั้งป่าสนที่ยังเป็นสีเขียวเข้มและต้นไม้สีเหลืองส้มชนิดอื่นๆ ที่แข่งกันเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง

ดูเหมือนแดดจะหมดแล้วเมื่อได้กลับขึ้นฝั่งอีกครั้ง ฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงใหญ่กลายเป็นสีน้ำเงินซีดๆ สลับกับสีขาวดำ ทำให้ทะเลสาบในเวลานี้ดูสงบนิ่ง เย็นตา และมีมนต์ขลังอย่างประหลาด สมกับชื่อมินนีวองก้าดีจัง





 

Banff Gondola

 

ก่อนมาลังเลอยู่หน่อยว่าจะขึ้นไปชมวิวมุมสูงของแบนฟ์ด้วยกระเช้ากอนโดล่า หรือจะไปนั่งเก้าอี้ chairlift แบบนักสกีที่ภูเขาอีกลูกดี แต่พอซื้อตั๋วชุดซึ่งรวมบัตรกอนโดล่ามาให้แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องเลือกอีกต่อไป


กอนโดล่าที่จะใช้นั่งขึ้นไปชมวิวเป็นกระเช้าขนาดเล็กสำหรับ 4 คน มันจะพาเราลอยเหนือทิวสนสีเขียวเข้ม ลอยขนานไปกับภูเขาสีขาวคราม และไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงเกือบ 700 เมตรภายในเวลาไม่กี่นาที


และในไม่กี่นาทีนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีรุ้งกินน้ำโผล่ออกมาแจมด้วยอีกตัว กอนโดล่าที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศทำให้เราได้มองรุ้งกินน้ำใกล้ขึ้น มองที่ระดับสายตา ไม่ต้องเงยหน้าดูเลยค่ะ

เมื่อขึ้นมาถึง gondola summit ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูเขาซัลเฟอร์ลูกนี้ มองออกไปเบื้องล่างจะเห็นเมืองเล็กๆ ที่ชื่อแบนฟ์ตั้งอยู่กลางพรมหญ้าสีเขียว หรือจริงๆ แล้วก็คือต้นสนที่ขึ้นกันแน่นขนัด มองจากบนนี้เลยดูเล็กจ้อยเหมือนเป็นเพียงต้นหญ้า โดยมีแม่น้ำโบว์ (Bow river) ที่ดูเส้นผอมนิดเดียวก็ไหลคดเคี้ยวผ่านพรมสนและผ่ากลางเมืองแบนฟ์ไปเช่นกัน

ขวาบนมองเห็นเลคมินนีวองก้าที่เมื่อบ่ายไปล่องเรือมาด้วยค่ะ เมฆในตอนนั้นอาจจะลอยฟุ้งๆ ขวางวิวเบื้องล่าง แต่ที่โดดเด่นชัดเจนสุดๆ คือธงสีขาวแดงที่สะบัดพรึ่บๆ อยู่ตรงหน้า พริมเลยกดถ่ายอยู่หลายทีกว่าจะได้ใบเมเปิ้ลมาแบบค่อนข้างเต็มใบ วิวนี้เลยยิ่งดูแคนาด๊าแคนาดาเข้าไปอีก

ในทุกทิศของจุดชมวิวจะแวดล้อมไปด้วยภูเขาๆๆ แต่มียอดเดียวเท่านั้นที่เราสามารถเดินข้ามไปได้จากบนนี้ได้ มองดูเหมือนไกล แต่เดินชมวิวไปได้เพลินๆ เพียงแค่ลงเนินไปตามทางขั้นบันไดที่ปูด้วยแผ่นไม้ แล้วก็ไต่ขึ้นสู่ยอดเขาอีกลูกที่ชื่อ Samson's peak ส่วนตัวคิดว่าวิวจากยอดแซมสันก็คล้ายๆ กับจุดแรกที่กอนโดล่าพาขึ้นมา เพียงแต่สูงกว่าก็เลยให้มุมมองที่ต่างไปนิดหน่อย แต่ระหว่างทางคือเดินเพลิน มีเก้าอี้และกล้องส่องทางไกลจัดไว้ให้ตลอดทาง

ชื่อ Samson นี่ตั้งตามชื่อของนักสำรวจคนหนึ่งที่ขยันเดินขึ้นยอดเขานี้ทุกสัปดาห์เป็นเวลากว่า 30 ปีจนถึงบั้นปลายชีวิต คืออายุเกือบเก้าสิบแกยังเดินขึ้นมาอยู่เลย ไม่ใช่เดินตามทางไม้แบบนักท่องเที่ยวด้วย เพราะสมัยก่อนยังไม่มีอะไรสร้างบนนี้

เมื่อเดินข้ามมาถึงจุดชมวิวฝั่งกอนโดล่าอีกครั้ง แดดที่ออกเปรี้ยงๆ มาตลอดทางกลับหายไปหมด กลายเป็นเมฆสีเทาๆ ตั้งเค้ามาแทนพร้อมสายฝน เลยเข้าไปนั่งหลบหาอะไรทานในสตาร์บัคส์รอเวลา เพราะพอฝนหมดก็มักจะเป็นคิวทองของหมอกและรุ้งกินน้ำเสมอ รุ้งโผล่มาทีเดียวสองตัวเหมือนตอนที่นั่งกอนโดล่าขึ้นมาเลยค่ะ สวยแบบฟุ้งๆ คุ้มค่ารอจริงๆ








 

Banff Town

 

เย็นวันแรกพริมกลับไปเดินเล่นในเมืองแบนฟ์ก่อนค่ะ ส่วนใหญ่บนถนนหลักมีแต่ร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงกันไปตลอดสาย แต่ละร้านหน้าตาคล้ายพวกล็อกเคบิน เปิดไฟสีเหลืองนวล มีนักท่องเที่ยวเดินเล่นกันหนาตา

ประกอบกับสุดถนนเป็นภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่าน มองจากมุมไหนก็เห็นชัดเจน และดูเหมือนอะไรบางอย่างที่แบนฟ์นี่จะทำให้พริมเผลอคิดถึงเมืองเซอร์แมท Zermatt เมืองโปรดจากอีกซีกโลกได้เฉยเลย

มื้อค่ำวันนั้นเป็นราเมงในร้านญี่ปุ่น ร้านเล็กๆ แต่แถวยาวเหยียด แล้วจึงขับรถต่อไปนอนเมืองติดกันที่ชื่อแคนมอร์ (Canmore) ห่างเพียง 15 นาทีจากแบนฟ์แต่ราคาและหน้าตาความใหม่ของห้องพักดูดีกว่าพอสมควร เวลาถึงช่วงไฮซีซั่น โรงแรมในแบนฟ์จะเต็มเร็วมาก คนก็จะขยับขยายมานอนแคนมอร์กันค่ะ





 

Lake Louise

 

สำหรับการมาเที่ยว เลคลูอิส หรือ เลคหลุยส์ (Lake Louise) ถึงจะขับรถมาเองแต่ระหว่างทางก็จะมีป้ายให้เข้าลานจอดรถเค้าตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งที่ห่างไปตั้งหลายสิบไมล์ นั่นเพราะที่จอดรถจริงๆ ของเลคลูอิสค่อนข้างเล็ก ไปสายก็จะเต็มตลอด เจ้าหน้าที่ก็ต้องคอยโบกทุกระยะให้รถส่วนตัววนลงเขาไป ไม่งั้นรถติดยาว โดยแนะนำให้ทุกคันลงไปจอดที่ลานจอดรถไกลๆ นั่นแทนค่ะ ที่นั่นจะมีรถของอุทยานจอดรอรับอยู่ เป็นรถโรงเรียนสีเหลืองๆ เหมือนในการ์ตูน แต่ต้องเสียตังค์ค่าขึ้นรถ งงนะๆ ตัวรถจะมีให้บริการอยู่ 4 จุด คือ ลานจอดรถตรงนี้ ที่หมู่บ้านเลคลูอิส ที่ตัวทะเลสาบเลคลูอิส และสามารถขึ้นรถต่อจากเลคลูอิสไปเที่ยวเลคโมเรน (Moraine Lake) ได้ ซึ่งก็ต้องจ่ายตังค์อีกที

ส่วนตัวแล้วกิจกรรมที่อยากทำที่สุดในแคนาเดียนร็อกกี้คือการพายแคนูในทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ ถึงแม้แทบทุกทะเลสาบที่ดังๆ ในอุทยานล้วนมีแคนูให้เช่า แต่พริมตั้งใจไว้ว่าจะไปพายที่เลคโมเรนแค่ที่เดียว เพราะค่าเช่าค่อนข้างสูงเกินกว่าจะพายไปเรื่อยๆ ทุกทะเลสาบ แต่พอมาถึงเลคลูอิสแล้วเห็นคนลงไปพายเรือกันน่าสนุก ก็เลยเผลอตัวเช่าเรือกับเค้าเฉยเลย ลืมหมดผงแผนที่วางไว้

เลคลูอิส คืออีกหนึ่งทะเลสาบที่ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นสีเทอร์ควอยซ์ แต่ของจริงสีน้ำในสระจะประมาณมิ้นท์ๆ นมๆ ดูน่ารักดี พริมชอบที่นี่เลยตัดสินใจขโมยเวลาที่เที่ยวอื่น แล้วเลือกแวะมาเลคลูอิสถึงสองวัน เนื่องจากวันแรกฟ้าค่อนข้างหม่น มีหมอกลอยเอื่อยๆ ขวางอยู่เหนือผิวน้ำ เมฆก็ลอยต่ำบังยอดเขาจนไม่รู้เลยว่าด้านบนมีธารน้ำแข็งตั้งอยู่

และส่วนหนึ่งที่มาซ้ำก็เพราะยังไม่ค่อยได้ถ่ายรูปด้วยค่ะ มัวแต่สนุกกับการพายแคนูเล่นไปหนึ่งชั่วโมง จ้วงพายสุดตัวแบบแรงๆ เร็วๆ เหมือนจะไปแข่งกีฬาที่ไหน คืนนั้นและวันต่อๆ มานักกีฬาจึงสะบักระบมแทบขยับไม่ได้เลย

จากกลางทะเลสาบที่พายเรือไป เมื่อมองย้อนกลับมาเราจะเห็นโรงแรมตึกใหญ่สีเหลืองอ่อนเหมือนปราสาทตั้งอยู่ริมน้ำ ตั้งแบบยิ่งใหญ่คนเดียวโดดๆ ไม่มีเพื่อนบ้านเลย มันดูแปลกตาจนอยากจะคิดว่าเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The Grand Budapest Hotel ของ Wes Anderson เลยค่ะ ถัดขึ้นไปบนเขาหลังโรงแรมจะสกีรีสอร์ทที่มีกอนโดล่าให้ขึ้นไปชมวิวมุมสูงตลอดปี ส่วน chairlift จะเปิดอีกทีในฤดูหนาวไว้รับส่งนักสกี เพราะป่าสนที่แหวกเป็นทางนั่นคือลานสกีดีๆ นี่เอง

เช้าวันต่อมาพริมจึงตัดสินใจกลับมาที่นี่ใหม่ เพราะดูพยากรณ์อากาศมาดิบดีแล้วว่าวันนี้แดดต้องออก ซึ่งพอมาถึงแล้วได้เห็นเลคลูอิสใต้แดดจัดๆ มันคือสวยสุดๆ ไปเลยค่ะ บรรยากาศเหมือนจะสวิสแต่ยิ่งใหญ่กว่ามาก ยิ่งท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสด น้ำในสระที่ละลายลงมาจากธารน้ำแข็งข้างบนก็ยิ่งดูเทอร์ควอยซ์กว่าเมื่อวานหลายเท่า บนภูเขาลูกตรงหน้าเป็นที่ตั้งของธารน้ำแข็งเลอฟรอยและวิคตอเรียที่ถูกหิมะคลุมจนขาว และเพราะวันนี้เป็นวันที่ดี ทะเลสาบจึงเกลื่อนไปด้วยเรือแคนูและคายัคลำเล็กๆ สีแดงๆ โดยรูปเกือบทั้งหมดในนี้ถ่ายจากวันใหมที่ฟ้าเป็นใจนี่แหละค่ะ





 

Moraine Lake

 

พริมว่า ทะเลสาบโมเรน (Moraine Lake) คือ ภาพจำที่ชัดที่สุดท่ามกลางทะเลสาบและภูเขามากมายในกลุ่มอุทยานแคนาเดียนร็อกกี้ เราอาจจะลืมชื่อบางทะเลสาบเพราะมันคล้ายกัน แต่คงไม่มีใครลืมทะเลสาบโมเรนเลคได้ลง เพราะตัวทะเลสาบเป็นสีฟ้าจัดจ้านยิ่งกว่าน้ำบลูฮาวาย พริมเองยังอยากมาแคนาดาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปโมเรนเลคเพียงรูปเดียว

จากเลคลูอิส เราต้องไปต่อแถวขึ้นรถโรงเรียนอีกคันเพื่อไปยังโมเรนเลค ผู้คนต่อแถวกันยาวเฟื้อยจนต้องรอคิวเป็นชั่วโมง ก่อนหน้านี้เคยพยายามขับรถขึ้นตัวเลคเองแต่เจ้าหน้าที่เล่นปิดตั้งแต่หน้าทางขึ้นเขาเลย เพราะที่จอดบนนั้นน้อยมากจริงๆ

กิจกรรมที่โมเรนเลคก็จะคล้ายที่อื่นตรงที่มีหลายเทรลสั้นยาวให้เลือกเดิน แต่เทรลที่ห้ามพลาดจริงๆ คือ Rockpile trail เพราะไม่อย่างนั้นคงรู้สึกมาไม่ถึงแน่ๆ มันคือจุดให้วิวแบบรูปปกโพสท์นี้เลยค่ะ ทางขึ้นอยู่ตรงจุดลงรถโรงเรียนพอดี ทางเดินจะพาเราวนขึ้นไปตามกองหินสัก 15 นาที ก็จะโผล่ขึ้นมาถึงจุดชมวิวด้านบนแล้ว

เวลาได้เห็นความสวยอะไรที่ดูน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะคิดว่ามีอยู่จริงบนโลกใบนี้ มันเป็นความสวยชนิดที่ทำให้คนเราตื่นเต้นจนพานให้ใจสั่นได้ง่ายๆ มือที่ถือกล้องก็ยังพลอยลนตามไปด้วย หันซ้าย หันขวา ถ่ายเท่าไหร่กลับยังรู้สึกเหมือนไม่พอ กลัวว่าจะบันทึกทุกอย่างไว้ไม่หมด ซึ่งหลายครั้งที่ถ่ายๆๆ มันทำให้เราลืมหยุดมองวิวตรงหน้าด้วยตาเปล่า พริมเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นวิวที่มันสุดจริงๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นไม่บ่อยเลย ส่วนใหญ่เป็นวิวจากบนเฮลิคอปเตอร์ เพิ่งมีครั้งนี้ที่เท้าเหยียบพื้นแล้วยังรู้สึกแบบนั้นได้อยู่ พอครั้งนี้รู้ตัวก่อน จึงหยุดนั่งนิ่งๆ อยู่บนหินก้อนใหญ่ ชมวิวสักพักจนอิ่มใจถึงได้กลับลงมา

วิวที่ได้เห็นข้างบนนั้น เมื่อมองผ่านแนวต้นสนออกไป เราจะได้เห็นภูเขาสีครามยอดขาวและป่าสนสีทึมๆ เราจะได้เห็นทะเลสาบสีฟ้าที่ฟ้าได้แบบไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าบอกว่าเป็นสีที่มนุษย์ผสมขึ้นมายังน่าเชื่อมากกว่าจะเป็นฝีมือธรรมชาติ กลางน้ำที่เห็นจุดสีดำจุดเล็กๆ ลอยอยู่ จริงๆ นั่นคือเรือแคนูลำใหญ่ๆ เลยนะคะ เห็นแล้วคงพอนึกภาพออกว่าโมเรนเลคนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน

ความน่าสนใจไม่ใช่แค่สีของน้ำ แต่พริมชอบที่ทะเลสาบมันขนาดค่อนข้างกะทัดรัด เมื่อโดนล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่นับสิบยอด จากซ้ายสุดขวา จากพื้นถึงฟ้า ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เห็นทุกความสวยงามของธรรมชาติเบียดกันอยู่แบบเต็มๆ มันอลังการดี ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันต่างกับเที่ยวทะเลสาบกว้างๆ ลิบลับ ที่นั่นเราจะรู้สึกปลอดโปร่ง แต่ที่นี่เราจะรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อย เป็นเศษที่จิ๋วที่สุดของโลก ความทุกข์อะไรก็ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับขนาดของโลกใบนี้

เมื่อกลับลงมาก็ลองเดินเล่นเลาะไปตามขอบทะเลสาบ วิวจากด้านล่างสู้ด้านบนไม่ได้สักนิด มีนักท่องเที่ยวหยุดยืนถ่ายรูปอยู่เป็นระยะ พอเดินผ่านก็โดนเรียกให้ช่วยถ่ายรูปทุกที บางคนก็เข้ามาถามทาง ดีใจนะ แสดงว่าดูน่าเชื่อถือ 555


コメント


bottom of page