ไอซแลนด์ฉบับนี้ประหยัดทั้งเวลาและราคา ไปแค่ 4-5 วันกับ 13 ที่เที่ยวในงบรวมแค่ 4 หมื่นบาท
ที่ให้เวลาไอซแลนด์แค่ 5 วัน เพราะสมัยนั้นทำงานประจำเพิ่งพ้นโปร พ้นแล้วก็โบยบินเลยค่ะ
ปลายเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ไอซแลนด์มีสีสันทั้งกลางวันกลางคืน ภูเขากำลังเปลี่ยนสี รุ้งกินน้ำโผล่มาบ่อยๆ และยังมีแสงเหนือให้ล่าอีก
ถ้าไม่หลับใหลจนลืมตื่นแบบพริมไปซะก่อน ก็คงได้รูปมา ทั้งๆที่เป็นช่วงปีที่ค่า kp ในการดูแสงเหนือพุ่งแรงที่สุดในรอบ 14 ปีแท้ๆ
ประเทศไหนมีภูเขาไฟพริมก็เชื่อว่าสวยอยู่แล้ว แต่ไอซแลนด์เล่นมีธารน้ำแข็งซ้อนบนภูเขาไฟเลย
ประเทศนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของ 2 แผ่นเปลือกโลก เราสามารถเห็นรอยแยกระหว่างแผ่นทั้งจากบนบกและร่องใต้น้ำเลย โดยการเคลื่อนตัวแยกจากกันปีละ 2 เซนครึ่งของแผ่นเปลือกโลกเพราะแมกมาด้านล่างได้ทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิดหลายครั้ง และยังมีที่เร็วๆนี้ตามสถิติน่าจะกำลังเกิดขึ้นอีก จริงๆตัวประเทศเองก็น่าจะเกิดจากลาวาที่แทรกตัวขึ้นมาระหว่างแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร พุ่งขึ้นมาแล้วทับถมกันจนเป็นไอซแลนด์
Hraunsfjarðarvatn : ทุ่งลาวาและภูเขาแต้มแดง
Kirkjufell : ภูเขาที่ฮิตที่สุดในไอซแลนด์
Grundarfjörður : เมืองประมงที่นั่งเรือไปดูออก้าได้
Seljalandsfoss : น้ำตกที่เดินอ้อมไปหลังม่านน้ำ
Eyjafjallajökull : ภูเขาไฟที่เพิ่งระเบิดไปเมื่อปี 2019
Skogafoss : น้ำตกยักษ์ที่ดูทรงพลัง
Foss á Siðu : น้ำตกเส้นเล็กที่ขนานไปกับถนน
Reynisfjara beach : หาดทรายสีดำ และวิวจากข้างบน
Reynisfjall : ภูเขารวงผึ้ง
Myrdalsjökul : ธารน้ำแข็งบนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น
Vatnajokull & Jökulsárlón : ทะเลสาบที่มีก้อนน้ำแข็งหลุดลอยออกทะเล
Blue Lagoon : สปาสีฟ้าน้ำนมจากโรงงานไฟฟ้า
Hallgrimskirkja : โบสถ์สวยๆในเมืองหลวง
ใครอ่านออกแค่ Blue Lagoon ไม่ต้องตกใจนะคะ มันมึนจริงๆ
หลังจากเมื่อยขบอยู่บนเครื่องบินมากว่า 12 ชั่วโมงเพราะบินรวดเดียว พริมก็มาถึงนอร์เวย์ในตอนเย็น เลยเข้าโรงแรมติดสนามบินเลย เพราะพรุ่งนี้เช้าจะต่อเครื่องไปไอซแลนด์ ส่วนนอร์เวย์ค่อยกลับมาเที่ยวต่อทีหลัง
October 19, 2015 Grundarfjorður
ต้นไม้สีเหลืองส้มช่วยให้ไอซแลนด์ในเช้านี้ดูสว่างสดใส แม้ท้องฟ้าจะหม่นด้วยเมฆฝนไปหน่อย พริมตรงไปรับรถเช่านอกสนามบินก่อน เพราะบริษัทข้างนอกถูกกว่าในสนามบินมาก
พริมขับรถขึ้นไปเที่ยวทางเหนือก่อน ด้านขวาเป็นภูเขาสูงใหญ่ไล่สีเขียวเหลืองส้มตามฤดูกาลที่กำลังเปลี่ยน ในขณะที่ด้านซ้ายเป็นทะเลสีเทาๆ ด้วยม่านฝนบางๆที่ตกมาบัง
ตลอดเส้นทางมีป้ายปักจุดชมวิวให้แวะถ่ายรูปเยอะมาก แต่ต้องรีบทำเวลาเลยไม่ได้แวะจุดไหนเลย ได้แต่ถ่ายผ่านกระจกรถ เห็นฝูงวัว ฝูงม้า ฝูงห่าน กระจายอยู่ตามทุ่งหญ้า
Hraunsfjarðarvatn
แต่แล้วแดดก็กลับมา พารุ้งกินน้ำมาด้วย วิวหน้ารุ้งนี่สวยจริงๆ พริมไม่รู้ว่านี่คือที่ไหนแต่ก็รีบเบี่ยงรถเข้าจอดทันที รอบๆทะเลสาบมีภูเขาตั้งอยู่หลายลูก มีสีแดงชมพูแต้มอยู่ รูปทรงกรวยคล้ายจะเป็นภูเขาไฟ ไม่รู้ว่าใช่มั้ย แต่ก็เห็นมีทุ่งลาวาสลับไปกับทุ่งหญ้าแห้งหลากสี
สวยจนกลับมาต้องย้อนหาชื่อสถานที่ด้วยการเปิดแผนที่ไล่ดู พบว่ามันคือ Hraunsfjarðarvatn ฮโรนคำหน้าหมายถึงทุ่งลาวา อ่านได้แค่นี้ค่ะ คำไอซแลนด์ปวดหัวจริงๆ
Kirkjufell
ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงคาบสมุทรสไนเฟลเนส Snæfellsnes ทางซ้ายบนของประเทศ ที่ยอมขับขึ้นมา 3 ชั่วโมงแล้วพรุ่งนี้ต้องขับลงไปอีก 3 ชั่วโมงก็เพื่อภูเขาลูกเดียวเลย ภูเขาที่คนไม่เคยไปก็น่าจะคุ้นตาอยู่ดี เพราะเป็นหน้าปกของรีวิวไอซแลนด์หลายๆตัว เพราะเป็นภูเขาทรงสมมาตรที่แยกตัวยื่นไปในวงล้อมของทะเล
รูปทรงสมมาตรเป็นยอดแหลมคล้ายหลังคาโบสถ์เลยทำให้ได้ชื่อว่า เคียร์คยูเฟทล์ Kirkjufell มาพร้อมกับน้ำตกเตี้ยๆชื่อเดียวกันแต่มีคำว่า ฟอสส์ foss ต่อท้าย ซึ่งคำนี้หมายถึงน้ำตกค่ะ
คนอื่นอาจสามารถถ่ายรูปเดียวติดทั้ง น้ำตก ธารน้ำ ภูเขาและทะเลเบื้องหลัง คือองศามันเบียดๆกันหน่อย พริมไม่มีเลนส์ไวด์เลยได้มาแค่นี้
ฝนตกลงอีกแล้ว ทำให้อากาศชื้นๆยิ่งเย็นเจี๊ยบ หญ้าแห้งๆยังดูชุ่มฉ่ำ ต้องคอยปัดหยดน้ำออกไปจากตาและหน้าเลนส์ กล้องพริมไม่ได้กันน้ำ แต่อยากได้รูปก็ต้องเสี่ยงเอา จนกระทั่งฝนหยุด ก็มีแพหมอกสีฟ้าๆเข้ามาแทน รอบตัวจึงดูฟุ้งๆ ฝันๆ สวยดี
Grundarfjörður
คืนนี้พักที่เมือง Grundarfjörður ประมงเล็กๆบนคาบสมุทรเดียวกัน ประชากรเบาบางไม่ถึงพัน แต่มีปลาเฮร์ริ่งอาศัยอยู่ชุกชุม เหยื่ออร่อยๆเยอะแบบนี้ นักล่าอย่างออก้าเลยชอบเข้ามาบริเวณนี้บ่อยๆ นักท่องเที่ยวสามารถออกเรือไปส่องออก้าได้
พริมเดินเล่นดูเมืองจนฟ้าเริ่มมืด ได้เห็นภูเขายอดแหลมลูกเดิมจากในเมืองนี้เลย ที่พยากรณ์บอกพระอาทิตย์ตกดิน 6 โมงเย็น แต่ของจริงซัก 4-5 โมงบรรยากาศก็เริ่มทึมๆแล้วค่ะ เมืองเงียบสนิทเหมือนหลับไปพร้อมแสงอาทิตย์
October 20, 2015 Vik
พริมพยายามจัดเส้นทางให้แต่ละวันขับรถประมาณ 200-400 โล พอบวกเวลาเที่ยว เวลาถ่ายรูปไปด้วย ทุกเช้าเลยอยากจะรีบออก ฟ้าสว่างๆจะได้อยู่กับเรานานๆ วันนี้จะขับรถไปยังเมืองใต้สุดของไอซแลนด์ โดยที่เที่ยว 3-4 ที่พริมเล็งไว้ก็อยู่ระหว่างทางนี้พอดี ถนนเส้นนี้คือถนนหมายเลข 1 เป็นถนนวงแหวนที่วนรอบประเทศค่ะ ขับไม่ยาก ถนนโล่ง ไม่มีเบียดมีแซง แต่ใหม่ๆอาจยากสำหรับคนที่ไม่ชินพวงมาลัยซ้าย
รถแล่นผ่านทุ่งลาวาสีดำปุ่มป่ำๆทั้งซ้ายขวา แต่อยู่ๆหิมะก็ค่อยๆปลิวลงมาเกาะตามหินลาวาจนขาว จริงๆไม่ได้คิดเลยค่ะว่า 20 ตุลา หิมะจะตกที่ไอซแลนด์แล้ว
ถ้าไม่เผลอหลับไปซะก่อน ทุกคนจะได้เห็นวิวข้างทางที่สวยเอามากๆ เห็นเส้นน้ำตกเหมือนเชือกสีขาวห้อยลงมาจากหน้าผาสูงเป็นระยะ แต่น้ำตกที่โด่งดัง จะมีรถนักท่องเที่ยวจอดกันอยู่เพียบ ตามเข้าไปได้เลยค่ะไม่พลาดที่เที่ยวแน่นอน
Seljalandsfoss
เซลยาแลนด์สฟอสส์ น้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงพุ่งลงแอ่งเบื้องล่าง ละอองน้ำตกปลิวไกลเกือบเกือบถึงลานจอดรถเลยค่ะ พริมรีบสวมเสื้อกันฝนเพื่อจะได้เข้าไปใกล้ๆ เดี๋ยวจะได้เดินอ้อมไปหลังม่านน้ำตกด้วย ละอองน้ำช่วยพรมให้หญ้างอกงาม วิวสีขาวดำจากน้ำตกเลยสดใสขึ้นทันที
จากบนเนินมองย้อนกลับไปสวยมาก ทางเดินสีดำคดเคี้ยวไปตามทุ่งหญ้าไม่ต่างกับเส้นทางน้ำตก เนื่องจากหินใต้น้ำล้วนเป็นสีดำเช่นกัน นี่แหละ ชอบวิวนี้มากกว่าตัวน้ำตกจริงๆอีกค่ะ
เส้นทางระหว่างนี้สวยมาก มีบ้านหลังเล็กๆตั้งอยู่ชิดติดตีนเขา สีสันของภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงนี่สุดจริงๆ
มีมารช์มาลโล่ก้อนยักษ์กระจายอยู่ตามทุ่งหญ้าด้วย
Eyjafjallajökull
ทางขวามือมีบ้านที่เขียนคำอะไรซักอย่างตัวใหญ่มากๆบนกำแพง มาพร้อมรูปภูเขาไฟระเบิด จนต้องจอดรถดู ที่แท้ทางซ้ายมือก็คือภูเขาไฟ เอยาฟยาทล่าโยกุทล์ Eyjafjallajökull
เอยา = เกาะ ฟยาทล่า = ภูเขา โยกุทล์ = ธารน้ำแข็ง
พริมเข้าไปถ่ายรูปถนนสีดำที่มุ่งสู่หมู่บ้านใต้เงาภูเขาไฟก่อน ตระหง่านเป็นกำแพงสูงเสียดฟ้าจนมองไม่เห็นยอด เพราะมีทั้งเมฆ หิมะ และธารน้ำแข็งปกคลุม
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะว่าบนยอดของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับลูกนี้ จะมีธารน้ำแข็งที่หนากว่า 50-200 เมตรปกคลุมอยู่ ร้อนสุดและเย็นสุดบนพิกัดเดียวกันเลย มันเกิดจากหิมะที่ตกลงมาสะสมปีแล้วปีเล่า ละลายและอัดแน่นเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นเวลาที่ภูเขาไฟปะทุ ธารน้ำแข็งที่อยู่ด้านบนก็จะละลายจนทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งเมื่อปี 2010 ที่มันระเบิดก็ทำน้ำท่วมเช่นกัน ตู้มเดียวตอนนั้นยังทำให้เถ้าภูเขาไฟลอยไปทั่วฟ้ายุโรป การบินอัมพาตไปหลายวัน พริมจำได้เพราะตัวเองก็ต้องยกเลิกทริปยุโรปกะทันหัน การระเบิดของเอยาฟยาทล่าโยกุทล์ได้ดึงแม้กม่าที่อยู่ข้างล่างไปใช้จนหมด ทำให้ภูเขาไฟ hekla ในบริเวณเดียวกันที่ตามสถิติน่าจะระเบิดไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่ระเบิด เพราะแม้กม่าหมดไปก่อน
Skogafoss
เลยจากภูเขาไฟไปหน่อยคือน้ำตก สโคกาฟอสส์ Skogafoss ที่เที่ยวที่นี่หลายแห่งสามารถมองเห็นจากถนนระหว่างขับรถได้เลยค่ะ น้ำตกนี้เกิดจากทะเลสาบด้านบนที่ไหลลงหน้าผามาเป็นแผง แล้วไหลไปตามทางหินสีดำตื้นๆออกสู่ทะเล
ความชื้นในอากาศจากละอองน้ำ เมื่อกระทบกับแดดจัดจะเกิดรุ้งกินน้ำตัวใหญ่คาดน้ำตก บางคนบอกต้องตอนแดดเช้า บางเจ้าว่าแดดบ่าย แต่โชคร้ายที่วันนี้เมฆขุ่นๆบังแดดหมดเลย
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงซู่ซ่าของน้ำตกยิ่งดังกลบทุกสิ่ง จะคุยกันทีต้องตะโกนและใช้ภาษามือประกอบไปด้วยเลยค่ะ วันนี้เมฆเยอะ อากาศชื้น พอมาเจอละอองจากน้ำตกหนักๆ บรรยากาศก็เลยฟุ้งเหมือนหมอกลง เป็นสเปเชียลเอฟเฟคที่ช่วยเติมความอลังการให้สโคกาฟอสส์ขึ้นไปอีกขั้น
มีหลายรูปที่เบลอๆเพราะน้ำเกาะเลนส์ พอเอาผ้าเช็ดเลนส์ออกมา อ่าว ผ้าก็เปียก! เลยต้องเช็ดกับถุงมือ แนะนำเลยค่ะว่าให้พกเลนส์เทเลมาด้วย จะได้ถ่ายจากไกลๆ ซูมน้ำตกได้ชัดๆโดยไม่เปียก
Foss á Siðu
รีบไปต่อกันเลย รถวิ่งเลียบไปกับแนวเขาสีเหลืองส้มทางด้านซ้าย มีธารน้ำสีฟ้าคั่นอยู่ระหว่างถนนกับภูเขา ฟ้าแบบฟ้าสุดๆ
มันคดเคี้ยวล้อไปกับถนนยาวนับโล จนถึงจุดนึงที่ต้องขับขึ้นเนิน ความชันนี้ทำให้ธารน้ำไหลต่ำลงมากลายเป็นน้ำตกเตี้ยๆ สีฟ้าสวยเลย กลับไทยมาพริมรีบเปิดกูเกิ้ลแมพนั่งไล่เส้นทางเลยว่าบริเวณนี้ชื่ออะไร
ขับตามดูต้นตอของน้ำมาเรื่อยๆ จากวิวภูเขาลาดๆกลายเป็นหน้าผาตัดตรง จนเห็นเส้นน้ำสีขาวๆไหลลงมาจากทะเลสาบบนหน้าผา เบื้องล่างเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และทุ่งหญ้าที่มึแกะเกลื่อน น้ำตกนี้ชื่อ Foss á Siðu อ่านยากแต่แปลง่าย 'น้ำตกแห่งหมู่บ้าน Siðu'
ส่วนนี้วิวระหว่างทางที่จะไปต่อ ถ่ายจากบนรถค่ะ
Reynisfjara Beach
ตอนที่ขับรถขึ้นภูเขามายังจุดชมวิวสุดท้ายของวัน เมฆก็ยังหนาไม่ผิดจากตอนเช้า แต่ที่น่าตกใจคือลมแรงมากๆ มันดันจนเปิดประตูรถไม่ออกเลย ต้องกลับทิศจอดรถใหม่เพื่อไม่ให้ขวางลมอีก ก่อนมาเคยมีคนขู่อยู่ว่าเปิดประตูรถผิดทิศ ประตูรถอาจปลิวหลุดได้เลยนะ
เบื้องล่างคือชายหาด เรนิสฟยาร่า Reynisfjara Beach หาดทรายสีดำ ทะเลสีเทา และคลื่นขาวที่ซัดเข้าฝั่งจนเกิดละอองฟู่ๆ dramatic มาก
พริมอยากเดินไปถ่ายรูปริมผา แต่ว่าลมแรงจนน่าจะถูกพัดตกไปซะก่อน ไม่เคยเจอลมแรงขนาดนี้เลย ตอนเดินไปทิศตามลมจะเร็วๆลอยๆเหมือนถูกบังคับให้วิ่ง แต่ถ้าเดินไปดูวิวในทิศต้านลม ก็จะเซไปเซมาออกนอกเส้นทาง ขนาดผู้ชายตัวใหญ่ๆยังเดินเซกันเลยค่ะ สุดท้ายก็พบวิธี คือ ต้องเดินหันข้างแบบปู แล้วก็ทำตัวเตี้ยต่ำ (แต่ไม่ทราม)
October 21, 2015 Jokulsarlon
เมื่อคืนขับต่อไปกินที่หมู่บ้านวีค Vik ก่อนเข้าที่พักนอกเมืองเพื่อแวะกินข้าวเย็นเฉยๆ ไม่เที่ยว เพราะวันนี้เที่ยวแน่นจนใกล้จะมืดแล้ว ที่นอนนอกเมืองก็เพราะที่พักกว้างขวาง ได้บ้านทั้งหลัง ในะราคาที่ถูกกว่ามาก ท้องฟ้าหลังพระอาทิตย์ตกที่ส่วนใหญ่เคยเห็นมักเป็นสีชมพู สีส้มอ่อนๆ แต่ที่ไอซแลนด์กลับเป็นสีแดงสด พริมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตื่นกลางดึกเพื่อตื่นมาดูแสงเหนือด้วย แต่หลับเพลินจนกดปิดเสียงไปดื้อๆ อดแสงเหนือไปอีกวัน
Reynisfjall
ส่วนเช้านี้ ก็จะขับบนถนนเส้นเดิมต่อไปทางตะวันออกเพื่อเที่ยวเมืองวีคนี่แหละค่ะ ระหว่างทางแวะไปเดินเล่นบนหาดทรายดำเรนิสฟยาร่าก่อน หาดเดียวกับที่เมื่อวานดูจากบนผา
พอได้ลงมาเดินใกล้ๆ ถึงเห็นว่าทรายสีดำมีประกายระยิบระยับด้วย ทุกคนบนหาดแต่งดำสนิท พริมด้วย เลยกลืนไปกับวิวขาวดำ กระทั่งมีสาวใส่โค้ทแดงเดินเข้ามา โห โดดเด่นกว่าดวงอาทิตย์อีก เพราะดวงอาทิตย์หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ถ่ายออกมาแล้วดีมากสงสัยกลับไปต้องมองหาเสื้อหนาวสีแสบๆบ้าง
ทางซ้ายของชายหาดเป็นภูเขาเสาหินบะซอล์ท เรนิสฟยาทล์ Reynisfjall ทรง 5-6 เหลี่ยม มองจากข้างบนน่าจะคล้ายรูปรวงผึ้ง มันเกิดจากลาวาที่เจอกับน้ำทะเลแล้วคลายความร้อนอย่างรวดเร็วจนทำให้ผิวนอกหดตัวแล้วแตก / อยากมีเสื้อหนาวสีแดงใส่บ้างง เพราะทุกคนบนหาดและวิวมีแต่ขาวดำ
กลางทะเลมีแท่งหินที่สูงเกือบเท่าตึก 20 ชั้นผุดขึ้นมาด้วย ตำนานตามเทพนิยายเล่าว่านี่คือโทรลล์ที่ถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าสาบให้แข็งเป็นหินเพราะไปขโมยเรือชาวบ้าน จริงๆมันน่าจะเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นเพราะคลื่นที่นี่แรงมาก ถึงกับต้องมีป้ายเตือน
เห็นหาดกว้างๆอย่างนี้อาจนึกว่าคลื่นขึ้นมาไม่ถึง แต่บางทีคลื่นจากมหาสมุทรอยู่ๆก็ซัดและกวาดผู้คนลงไปได้ง่ายๆ
Myrdalsjökul
เมียดาลส์โยกุทล์ Myrdalsjökull ทุกครั้งที่มีโยกุทล์ต่อท้ายจะหมายถึงธารน้ำแข็ง พริมขับรถผ่านเห็นบนภูเขาดำๆมีแผ่นน้ำแข็งสีฟ้าครอบอยู่ นี่เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ Katla หนึ่งในภูเขาไฟที่ทรงพลังที่สุดในโลก คัทล่ายังคงคุกรุ่นรอวันปะทุอยู่ทุกเมื่อ ซึ่งตามสถิติจะปะทุทุก 40-80 ปี แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการปะทุมา 101 ปีแล้ว (1918) คาดว่าอีกไม่นานที่มันคิดจะปลดปล่อยพลังอีกครั้ง ครั้งนี้ต้องเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่มากแน่ๆค่ะ ธารน้ำแข็งที่อยู่ด้านบนก็คงละลาย
Vik
แล้วธารน้ำแข็งที่ละลายก็จะเข้าท่วมหมู่บ้าน วีค Vik เพราะเป็นทางผ่านก่อนออกสู่ทะเล พริมแวะวีคเพื่อเติมเสบียงให้คนและรถที่นี่เลย จากทุกมุมของเมืองจะมองเห็นโบสถ์สีแดงตั้งอยู่บนเนินเขาสูงสุดของหมู่บ้าน นี่แหละคือที่ที่ทุกคนจะต้องอพยพขึ้นมาหากเกิดน้ำท่วมจากภูเขาไฟ
เคยได้ยินหลักว่า หน้าน้ำ หลังภูเขา คือสุดยอดทำเลตามฮวยจุ้ย แต่สำหรับหมู่บ้านวีคนี่พริมไม่แน่ใจ เพราะต้องเจอทั้งคลื่นยักษ์ น้ำท่วม และภูเขาไฟระเบิดเลย
Vatnajokull & Jökulsárlón
ที่ที่ทำให้อยากมาไอซแลนด์ที่สุด คือธารน้ำแข็ง วัทน่าโยคุทล์ Vatnajökull โดยปกติธารน้ำแข็งประเภทนี้จะค่อยๆเคลื่อนตัวจากภูเขาลงต่ำจนไปสุดที่ชายหาด และปล่อยก้อนน้ำแข็งสีฟ้าให้หลุดลอยไปในทะเล
แต่เพราะอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้ธารน้ำแข็งเริ่มละละลายและถอยร่นออกจากฝั่ง เลยเกิดเป็นเวิ้งทะเลสาบ โยกุลซาโลน Jökulsárlón ตามชื่อก็คือทะเลสาบธารน้ำแข็ง
ยิ่งธารน้ำแข็งละลาย ทะเลสาบก็ยิ่งกว้างขึ้น โดยเฉพาะช่วงสิบปีให้หลังมานี้ ธารน้ำแข็งถูกเร่งให้ละลายเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยที่นี่อาจจะไม่ได้เป็นแค่ทะเลสาบที่มีก้อนน้ำแข็งหลุดลอย แต่อาจจะกลายเป็นฟยอร์ดไปเลยก็ได้
น้ำแข็งก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่กลางทะเลสาบดูเงียบสงบ แต่พอขับรถไปจอดฝั่งตรงข้ามที่เป็นทะเลเปิด น้ำแข็งกลิ้งเอาๆเหมือนอยู่คนละโลก น้ำแข็งที่หลุดลอยจากทะเลสาบออกทะเลจะโดนคลื่นลมแรงๆจากมหาสมุทรแอตแลนติกซัด สุดท้ายต้องกลับขึ้นมาบนหาดทรายสีดำ และจะซัดจนน้ำแข็งเล็กมนลงเรื่อยๆ น้ำแข็งสีฟ้าๆเหล่านี้ยิ่งโดนคลื่นซัดขัดเกลายิ่งดูแวววาวๆ ตัดกับพื้นดำสวยมาก
บนชายหาดก็มีก้อนหินกลมๆ มนๆ ที่โดนคลื่นขัดเกลาอยู่หลายสี น่ารักดี
พริมเข้าไปถ่ายรูปน้ำแข็งที่โดนคลื่นซัดจนน้ำกระจาย สงสัยจะใกล้ไป ตอนหันหลังเดินกลับเลยโดนคลื่นซัดซะเปียกถึงเอว เย็นวาบบบ เม็ดทรายสีดำๆที่ซัดมากับคลื่นนอกจากจะลงมากองท่วมรองเท้า ยังทะลุถุงเท้าเข้ามาอีก ถุงเท้า กางเกงมีเปลี่ยน แต่รองเท้าเปียกๆต้องกลับไปตากฮีทเตอร์ในห้องพัก ในรูปนี่คนอื่น แต่ก็น่าจะเปียกเหมือนกัน
คืนนี้พักไกลออกมาอีกหน่อย ข้างๆที่พักมีร้านอาหารพอดี พริมกินสเต๊คปลาแซลมอน ทั้งๆที่เป็นคนไม่ชอบกินแซลมอนสุก แต่คิดว่าที่ไอซแลนด์น่าจะสดมาก สรุปคาวค่ะ หมดไปเป็นพันกับอาหารจานเดียว คิดว่าอาหารที่ไอซแลนด์แพงนะ แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นนี้เลยจริงๆ
พริมตื่นกลางดึกเพราะในห้องนอนฮีทเตอร์ร้อนมากๆ เลยออกมานั่งเล่นที่ล้อบบี้เย็นๆ ดูเหมือนว่าคนอื่นก็คงรู้สึกเหมือนกัน ซักพักเลยมีคนมาเลเซียออกมานั่งคุยด้วย คุยเรื่องที่เที่ยวแต่พวกเราอ่านชื่อที่เที่ยวกันไม่ค่อยออก ต้องคอยเปิดรูปจากมือถือแทนว่าคุยเรื่องไหนอยู่ เค้าเอารูปแสงเหนือมาอวดให้อิจฉาด้วย บอกเมื่อคืนแถวๆวีคเห็นชัดมาก ก็ที่หมู่บ้านที่พริมนอนเลย แค่ไม่ตื่น
October 22, 2015 Reykjavik
เมื่อวานประทับใจทะเลสาบธารน้ำแข็งมาก เช้านี้ขับผ่านพอดีเลยแวะถ่ายรูปอีกครั้ง ถ่ายได้แป๊บๆ ฝนก็ตกหนักจนต้องหนีขึ้นรถ เที่ยวโยกุลซาโลนทีไร ต้องเปียกทุกที
วันนี้ต้องขับรถไกลสุด สี่ร้อยกว่าโลรวดเดียวเพื่อกลับไปนอนเมืองหลวง และไปแช่สปาชื่อดัง Blue lagoon ถนนที่ขับกลับก็เป็นเส้นเดิม เราจึงผ่านที่เที่ยวเหมือนเดิมทุกอย่าง
แต่หลังจากฝนตกไปเมื่อเช้า แดดก็กลับมาส่องอีกครั้ง มาพร้อมรุ้งกินน้ำเลยค่ะ ข้างหน้าเป็นทุ่งหญ้าแห้งสีเหลืองทอง แต่ฉากหลังกลับเป็นธารน้ำแข็งที่คลุมด้วยหิมะ
ไม่เคยนึกเลยว่าความ 2 สิ่งนี้จะมาอยู่ร่วมเฟรมกันได้ข้างทางสวยสุดๆ สวยกว่าขามาที่ทึมๆด้วยเมฆฝนมาก มีจุดจอดตรงไหน ก็แวะจอดถ่ายรูปหมด
Blue Lagoon
พอเริ่มเข้าใกล้บลูลากูน ก็เริ่มเห็นควันพวยพุ่งออกมาตามภูเขาหลายจุด รอบๆก็เป็นทุ่งลาวา
น้ำที่บลูลากูนเป็นสีฟ้านมๆ ถือว่าเป็นสปากึ่งธรรมชาติละกัน เพราะอยู่ในธรรมชาติ มีแร่ธาตุและความร้อนตามธรรมชาติ แต่น้ำเหล่านี้จริงๆเป็นการปล่อยมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ใช้น้ำในการหมุนกังหัน ยังเป็นน้ำสะอาดอยู่ค่ะ อย่างที่เห็นอยู่แล้วว่าที่ตั้งของไอซแลนด์นั้นร้อนเดือดแค่ไหนถึงได้มีทั้งภูเขาไฟและไกเซอร์
พริมจองเวลาไว้ช่วงบ่ายแก่ๆ วันธรรมดาแต่บ่ายแก่คนแน่นมาก อุณหภูมิตอนนี้น่าจะประมาณ 0 องศา พอเปลี่ยนชุดเสร็จเลยต้องรีบวิ่งฝ่าความหนาลงไปแช่ในสระอุ่นๆ 39 องศา ตอนแรกพริมกะจะมาถ่ายรูปเฉยๆ ไม่แช่ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหว อุ่นสบายมาก
ทุกคนจะไปเอาโคลนขาวที่เป็นซิลิกามาพอกหน้า คงเพื่อบำรุงผิวหรือความสวยงามซักอย่างพริมก็จำไม่ได้ แต่เค้ามีให้พอกก็พอกบ้าง สรุปหน้าแห้งตึงไปหมด เวลาลงแช่ก็ไม่ควรให้ผมโดยน้ำด้วย เพราะซัลเฟอร์ในน้ำจะทำลายผม พริมว่าปลายผมโดนแค่นิดๆ แต่อาจจะมีละอองหรือไอที่โดนด้วย
ทำให้สุดท้ายถึงจะขึ้นมาอาบน้ำสระผม ตัวก็แห้ง ผมก็แห้งแบบกรอบกรัง พันกันไปหมด ทั้งแข็งทั้งฝืด ต้องสระผม 3-4 รอบก็จะกลับมาปกติ จนตอนนี้ก็ยังงงๆว่านี่มันดีจึงรึเปล่า คืนนี้กลับไปนอนอพาร์ทเมนท์ในเรคยาวิค
October 23, 2015 Oslo
Hallgrimskirkja
ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่กะจะไปเดินดูโบสถ์ ฮัทล์กริมสเคียร์คย่า Hallgrimskirkja (ชื่อสุดท้ายแล้วค่ะ น่าจะเหนื่อยกับภาษาไอซแลนด์กันทั้งคนอ่าน คนเขียน พริมฟังซ้ำๆหลายทีกว่าจะถอดมาเป็นภาษาไทยได้)
นี่เป็นโบสถ์ที่สวยมากๆๆ เห็นแล้วนึกถึงออแกนที่เป็นเครื่องดนตรีคลายเปียโนสูงๆในโบสถ์
พริมมาถึงตอนที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย โบสถ์จึงยังไม่เปิด ได้แต่เดินเล่นดูเมืองรอบๆอีกนิดหน่อยก็ต้องไปแล้ว พริมจองไฟลท์บินกลับออสโลตอนเช้าไว้เพราะมีเวลาไม่มาก จริงๆใครจะมาแบบประหยัดวันเหมือนพริม ยืดเวลาเดินเล่นในเมืองเรคยาวีคอีกซักหน่อยก็ได้ค่ะ กลับกลางคืนก็ยังได้
When
● 19-23 ตุลาคม : รวม 5 วัน อากาศประมาณ 0-5 องศา เจอแดด ลม รุ้ง ฝน และหิมะบ้างนิดหน่อย พระอาทิตย์ขี้นและตกประมาณ 8.30 และ 18.00 ทำให้แต่ละวันเที่ยวได้กว่า 9 ชั่วโมง
COST
41,xxx บาท เป็นราคาสำหรับ 5 วันกับทริปที่หารกัน 4 คนนะคะ พริมไปเมื่อหลายปีที่แล้วก็จริง แต่ลองเข้าไปเช็คราคาปัจจุบัน 2019 ให้คร่าวๆ ก็มีทั้งแพงขึ้น เท่าเดิม และถูกลง
หากไปแบบพริม น่าจะได้ประมาณ 39xxx - 43xxx บาทค่ะถ้าอยากไปนานกว่านี้ ให้บวกเพิ่มวันละประมาณ 3500฿
ตั๋วเครื่องบิน = 23,000฿
ที่พัก = 5,000฿
รถเช่าและน้ำมัน = 4300฿
อาหาร = 4800฿
วีซ่าและค่าเข้าสถานที่ = 4500฿
Flight ticket
● 23,000฿
พริมบินไปไอซแลนด์จากนอร์เวย์นะคะ แต่ราคานี้รวมตั๋วทั้งหมดให้แล้ว
จริงๆพริมตั้งใจจะไปเที่ยว trømso นอร์เวย์ แต่ตั๋วเครื่องบินขึ้นเอาๆ เลยเปลี่ยนแผนไปไอซแลนด์แทน
bkk-oslo บินตรง = 18,500฿ / พริมเพิ่งเช็คของตุลาปีนี้ก็มีราคานี้อยู่นะคะ
⚡️ถ้าบินไปแบบไม่เอาอาหารและน้ำหนักกระเป๋า ไปกลับ 15k ก็ยังมี ซื้อแชร์กันก็ได้
⚡️เวลาหาตั๋วให้ลองขยับวันดูค่ะ เลื่อนไปวันนึงอาจถูกลง 3พัน เพราะบางสายการบินไม่ได้บินทุกวัน
⚡️เดือนตุลาคมที่พริมไปไม่ใช่ high season จึงมีโอกาสหาตั๋วถูกได้ง่าย ⚡️ถ้ามีโปรไปเมืองไหนก็แล้วแต่ในยุโรป เล็งไว้ก่อนเลย บินภายในจากยุโรปไปไอซแลนด์ไม่ได้แพงนัก ถูกกว่าเสิชหาตั๋วกรุงเทพไปไอซแลนด์ค่ะ
oslo-reykjavik = 4,500฿ / ราคาตอนนี้ 4 พันก็มี
Accom
● 5,000฿
ราคา 4 คืน
ส่วนใหญ่พริมเลือกเกสท์เฮาส์ซึ่งจะได้บ้านทั้งหลัง ไม่ก็ห้องที่นอน 4 คน ขนาดหาแบบถูกๆ ยังตกคืนละประมาณ 5000 บาทเลยค่ะ แพงกว่ายุโรปประเทศอื่นจริงๆ แต่ในราคานี้ก็มักจะได้ห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ⚡️เวลาหาที่พัก ลองเลือกที่พักนอกเมืองดูนะคะเพราะจะถูกกว่าและใหญ่กว่า
⚡️ถ้าในเมืองหลวงจะมีโฮสเทล ถ้าอยากประหยัดหรือไปไม่กี่คนก็ไปพักได้เลยค่ะ ตกคนละ 700-1000 บาทเอง ซึ่งถือเป็นเรทปกติของโฮสเทลในยุโรปอยู่แล้ว - จริงๆพริมไปมาตั้ง 4 ปี แอบคิดว่าที่พักอาจมีขึ้นราคา
เลยไปลองเทียบดู ปรากฏที่ที่ตัวเองเคยพัหสูงขึ้น 10-60% แต่อย่าเพิ่งตกใจนะคะ เพราะไอซแลนด์บูมขึ้นเรื่อยๆ เลยมีที่พักใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย
ราคาก็มีให้เลือกหลากหลายตาม ทำให้มีที่พักคุณภาพเดียวกับตอนพริมไปในราคาถูกลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับเรทแลกเงินด้วยนะคะ ซึ่งที่พริมเขียนมาคือเทียบมาให้แล้ว
สรุป ผ่านไป 4 ปี ค่าที่พักยังเหมือนเดิมค่ะ
Car
● 4,300฿ (4days)
ราคา 4 วัน พริมเช่าเป็นรถ suv รวมค่าน้ำมันตลอด 5 วัน และได้หาร 4 คนแล้วค่ะ ⚡️ร้านเช่ารถท้องถิ่นที่อยู่นอกสนามบินจะถูกกว่ามาก โดยเค้าจะมารอรับส่งเราจากสนามบินตรงไปที่ร้านเลยค่ะ
Food
● 4,800฿
ราคา 12 มื้อ รวมพวกน้ำหวานและขนมกินเล่น
ความโหดร้ายของไอซแลนด์ก็คือราคาของกินนี่แหละค่ะ
ขนาดให้งบมื้อละ 400฿ ยังกินได้แค่พวก sandwich, wrap, hotdog ตามมินิมาร์ท นานๆถึงจะกินร้านอาหารซักที เพราะตกจานละเป็นพัน
⚡️แนะนำพวก quick meal ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ มีทั้งอาหารฝรั่งและเอเชีย
เอามาอุ่นกินที่ห้องพักได้เลย
Visa & Ticket
● 4,500฿
ค่าวีซ่า : ประมาณ €60 ตอนนั้นพริมจ่าย 3100฿ แต่ตอนนี้ (6/2019) = 2970฿
ค่าเข้า blue lagoon : ตอนนั้นซื้อตั๋ว standart 1400฿ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีคลาสนั้นขายแล้ว ราคาตอนนี้แบบถูกสุดคือ 83 eur = 3000฿
Comments