top of page

NAMIBIA : ในพายุทรายใต้ทะเลดาว

Updated: Oct 24, 2019


10 วัน 64000 บาท ลบล้างความคิดว่าแอฟริการ้อนไปหมดสิ้น

กางเตนท์นอนในพายุทรายใต้ทะเลดาวที่หนาว 1 องศา

ชายฝั่งทะเลเหนือจดใต้ไม่ได้เป็นแค่หาดทราย แต่ทั้งหมดคือทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

เที่ยวทะเลทราย ซาฟารีกันทั้งวันทั้งคืน และไปเยี่ยมชนเผ่าที่นับถือวัว

ใครอยากไปนามิเบีย ตามไปอ่านข้อมูลน่ารู้ก่อนไปได้ที่นี่ : NAMIBIA 101 อยากให้รู้ก่อนไปนามิเบีย

ส่วนรีวิวนี้พริมคุยแต่เรื่องที่เที่ยว ขีดเส้นใต้ที่ที่อยากแนะนำมากๆไว้ให้ด้วย

  1. Dune 45, Namib Naukluft : เนินที่ลาดเอียด 45 องศาเมื่อพายุทรายพัดมา

  2. Sossusvlei, Namib Naukluft : เวิ้งสีขาวกลางทะเลทรายกับต้นไม้ที่ยังมีชีวิต

  3. Deadvlei, Namib Naukluft : เวิ้งสีขาวกลางทะเลทรายกับต้นไม้ปีศาจที่ตายมากว่า 900 ปี

  4. Etosha Salt Pan : ทุ่งเกลือขาวๆที่กว้างใหญ่กว่ากรุงเทพถึง 3 เท่า

  5. Etosha National Park : ซาฟารี ส่องแต่สัตว์ทั้งวันทั้งคืน

  6. Camping Life : เรื่องเล่ากับการนอนเตนท์ 1 องศาใต้ทะเลดาว

  7. Himba Tribe : ชนเผ่าที่ต้องทาต้องแดง และผู้หญิงไม่เคยต้องอาบน้ำ

  8. Spitzkoppe : Matterhorn of Namibia

  9. Namib Desert : เรียนรู้การเอาตัวรอดในทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

  10. Fish Canyon : หุบเขาที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

  11. Orange River : คายัค 10 กิโลเมตรกับวิวข้างทางที่สวยมาก

  12. Walvis Bay : อ่าววาฬที่เต็มไปด้วยฟลามิงโก

  13. Swakopmund : เมืองริมทะเลน่ารักๆที่คั่นระหว่างทะเลทรายและชายทะเล

  14. Windhoek : เมืองหลวงของนามิเบียที่โยงถึงเกาหลีเหนือ?



เที่ยวนามิเบียต้องผจญพายุทรายตลอดเวลา พริมเลยเอากล้องไป 2 ตัว

  • omd em10 mark3 กะทะรัด ถ่ายสนุกดี เปลี่ยนเป็นเลนส์เทเลก็ใช้ซาฟารีได้สบาย

  • olympus tough tg5 จอมถึก เอาไว้สู้ทรายโดยเฉพาะ




 

Dune, Namib Naukluft


ตอนแรกในหัวมีแต่ deadvlei อยากไปซะจนไม่สนใจจะรู้จักที่อื่นอีกเลย จนได้มาเห็นเนินทรายที่ชัน 45 องศาในตอนที่แสงเช้ายังส่องเป็นสีทอง สวยมาก

เช้าๆทรายยังไม่ร้อน บางคนเลยเดินเท้าเปล่า แต่เราใส่ถุงเท้ารองเท้า ทรายที่เม็ดละเอียดเหมือนแป้งซึมเข้าไปกองเต็มถุงเท้าเลย ยิ่งเดินยิ่งหนัก ฝังลงไปแม้ตามผิวหน้า พริมใช้กล้องติดเลนส์เทเลเดินถ่ายด้านล่างก่อน ถ่ายปุ๊บซ่อนกล้องเข้าไปในเสื้อแจ๊คเก็ทปั๊บ กลัวว่าทรายผงแป้งนี้จะทำกล้องพัง เห็นว่ากล้องเสียเพราะทรายมาหลายคนแล้ว

ตอนที่จะเดินขึ้นเนินเปลี่ยนเอากล้องถึกๆอย่าง olympus tough tg5 ขึ้นไปลุยแทน เวลาเดินต้องก้มหน้าปิดปากให้สนิท เพราะทรายคอยแต่จะตีเข้าหน้า ทะลุผ้าพันคอเข้ามาถึง จมูก ปาก หู ยิ่งเดินขึ้นสูงลมยิ่งแรง แต่ละคนเซๆเหมือนจะโดนลมหอบลงเขาในเร็วๆนี้ เวลายืนนิ่งกับที่ทรายที่พัดมาเรื่อยๆก็จะกลบเท้ามิดในชั่วพริบตา ดูจากกล้อง tg5 ที่ลองวางบนพื้นทรายดูก็ได้ ไม่กี่วินาทีเอง ทดสอบความถึกดูเล่นๆ

เมื่อขึ้นมายืนข้างบน มองออกไปฝั่งตรงข้าม ซักพักพายุทรายก็พัดมา แม้แต่ภูเขาทรายลูกสูงใหญ่ขนาดนี้ยังถูกพายุทรายกลืนจนหายไปกับตาในเสี้ยววินาที แล้วซักพักก็กลับมาใหม่




 


Sossusvlei, Namib Naukluft


ก่อนจะเดินเข้าไปถึง deadvlei มันต้องนั่งรถมาที่ sossusvlei ก่อน แล้วต่อรถของทางอุทยานเข้าไปที่ปากทางเข้าเพื่อเดินต่ออีกที บรรยากาศตอนนี้เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกแล้ว เป็นดาวซักดวงที่ไม่รู้จัก

ทรายอาจจะลอยอยู่ในลมจนภาพมัว แต่เหนือขึ้นไป ฟ้ายังสดใสอยู่


ซอสซัสวเล คำว่า วเล vlei คือ valley เป็นเหมือนแอ่งที่เคยมีน้ำจากภูเขาน้ำไหลเข้ามา แล้ววันนึงทรายพัดมากองเป็นเนินขวางทางน้ำ น้ำจึงหาทางออกไม่ได้ ทำให้เมล็ดพืชที่ไหลมากับน้ำตามมาเติบโตขึ้นที่นี่ หลักฐานที่ค้างอยู่ของน้ำคือผิวหน้าสีขาวที่เป็นโคลนแห้งๆ เมื่อวันนึงที่ลมพัดถ่ายเทจนน้ำแห้งสนิท sossusvlei แห่งนั้นก็จะกลายเป็น deadvlei ที่ซึ่งไม่มีชีวิตใดๆงอกงาม มีแต่ซากต้นไม้ค้างอยู่ แล้ววันนึง deadvlei ก็อาจจะหายไปได้ รวมทั้ง sossusvlei แห่งใหม่ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน




 

Deadvlei, Namib Naukluft


ใกล้ถึงเหตุผลหลักในการมานามิเบียแล้วค่ะ

หลังจากรถวิ่งเข้ามาส่งที่หน้าทางเข้า ต้องเดินเท้าขึ้นลงเนินต่อไปอีกหลายชั้น

ตอนนี้รู้แล้วว่า แอ่งที่เป็นพื้นสีขาวคือ vlei แน่ๆ แต่ถ้ายังมีต้นไม้ใบเขียวอยู่ นั่นเรียก sosssus แต่ถ้าเหลือแต่ลำต้นแห้งๆไร้ใบ นั่นคือ dead

เมื่อเช้าอากาศหนาวมาก จึงใส่เสื้อซ้อนกัน 5 ชั้น เสื้อว่ายน้ำที่เมื่อคืนประยุกต์ใส่นอนก็ยังอยู่ แต่พอสายๆก็ร้อนจนต้องสะบัดทุกอย่างออกมาถือไว้ จะมีใครบ้าใส่เสื้อว่ายน้ำมาเที่ยวทะเลทรายอีกมั้ยไม่รู้

เดินมาได้ซักโล มองลงไปเบื้องล่างเลยได้เห็นแอ่งสีขาวที่มีต้นไม้ยืนตายอยู่หลายต้น และเหล่าคนตัวเท่ามด ทั้งหมดถูกล้อมไว้ด้วยภูเขาทราย นี่คงถึง deadvlei จริงๆแล้ว 😊

เนื่องจากที่นี่ถูกล้อมไว้ด้วยเนินทรายในทุกทิศ แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาทำให้เนินทรายแต่ละด้านให้สีต่างกัน แต่หันไปทางไหนก็สวย เวลายกกล้องขึ้นมาแต่ละที หมุนตัวเลือกฝั่งไม่ถูกเลยว่าถ่ายฝั่งไหนก่อนดี มีครั้งนึงที่ใช้เลนส์เทเลซูมถ่ายต้นที่ไกลๆ มองเห็นแต่ไกลว่าลมกำลังหอบฝุ่นสีขาวพัดมาทางนี้ หันหลังหนีแทบไม่ทัน บางครั้งมันก็สลายก่อนวิ่งมาถึง บางครั้งลมก็พัดฝุ่นลอยไปในอากาศ

ต้นไม้ที่ deadvlei ยืนต้นตายมากว่า 900 ปี นานขนาดนี้แต่ยังไม่ไปไหนเพราะอากาศและพื้นดินแห้งมากจนย่อยสลายอะไรไม่ได้ ต้นไม้พวกนี้ก็เปราะบางมากๆ ห้ามจับ ห้ามพิง เพราะสมบัติเกือบพันปีนี้อาจล้มครืนลงมาแค่เพียงใครซักคนอยากได้รูปสวยๆ มีป้ายปักเตือนไว้ด้วยหน้าทางเข้า




 

Etosha National Park


อีโตชา เป็นแหล่งซาฟารีที่ใหญ่สุดในนามิเบีย ใหญ่ประมาณ 14 เท่าของกรุงเทพ ประกอบด้วยทุ่งสะวันน่าและทุ่งเกลือ salt pan ไม่รู้จะเรียกชื่อไทยว่าอะไรดี เดี๋ยวก่อนออกจากอุทยานจะพาไปดู the great white place ความหมายของชื่ออีโตชา สัตว์ป่าที่นี่อยู่กันหนาแน่น ทางอุทยานจะคอยสำรวจว่าตอนนี้ประชากรผู้ล่าและผู้ถูกล่าอยู่ในสัดส่วนที่พอดีกันรึเปล่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากเกินไปจนขาดสมดุล ก็อาจมีการพิจารณาซื้อขายสัตว์ป่าจากพื้นที่อื่น

ที่นี่ไม่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่จึงไม่มีฮิปโปและควาย ควายแอฟริกาจะใช้ชีวิตติดกับน้ำตลอดเวลา แต่เห็นว่ากำลังพัฒนาให้มีควายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เพราะถ้ามี big 5 ครบก็น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก


  • ม้าลาย : พุงป่อง บั้นท้ายอวบ คุณสมบัติของม้าลาย เพราะม้าลายระบบย่อยไม่ค่อยดี

  • ฮาร์ทบีสท์ : hartebeest กับเขาสวยๆที่เหมือนท่อแอร์

  • บลูวีลเดอบีสท์ : blue wildebeest วิ่งกวด oryx จนฝุ่นตลบ แกล้งเล่นๆแก้เบื่อ

  • ยีราฟ : ตัวผู้ยิ่งแก่ สีขนตรงลายยิ่งเข้ม ซึ่งแปลกมาก ส่วนใหญ่เวลาแก่ลงสีผมของคนหรือขนของสีตว์จะยิ่งซีด

  • ช้าง : ตอนเช้าๆ อุณหภูมิที่อีโตชา 10 องศา แต่ตอนบ่ายก็ร้อนอย่างรวดเร็ว การสะบัดหู 2 ทีของช้างช่วยให้อุณหภูมิในตัวมันลดลงได้ถึง 2 องศา นามิเบียเป็นเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่มีช้างทะเลทราย ซึ่งสัตว์ที่จะอยู่รอดในทะเลทรายน่าจะต้องอึดและอดน้ำได้ประมาณนึง ภาพในหัวจึงมีแต่พวกอูฐ สัตว์เลื้อยคลานและแมลง ไม่คิดว่าสัตว์ตัวใหญ่ๆที่มักใช้ชีวิตอยู่กับน้ำจะปรับตัวได้สำเร็จ ทำให้ช้างทะเลทรายจะมีรูปร่างที่เปรียวกว่า เท้าก็โตกว่าเพื่อที่จะสามารถเดินบนทรายได้ง่ายๆ ลองนึกภาพคนใส่รองเท้าผ้าใบกับใส่ส้นเข็มเดินบนทราย เนื่องจากมันอาจต้องเดินไกลเป็นร้อยๆโลเพื่อให้มีน้ำดื่มซักครั้งในรอบหลายวัน งวงก็ยาวกว่า เพราะอาจต้องขุดลงไปใต้ทรายเพื่อหาน้ำ

  • สิงโต : ก้อนขนสีน้ำตาลเพิ่งลุกจากการหมอบกินน้ำ สัตว์ตัวอื่นๆรอบบึงมีขยับตัวบ้างแต่ไม่มีตัวไหนวิ่งเตลิด เหมือนว่าสิงโตจะแค่ออกมากินน้ำเฉยๆ ปกติแล้วสิงโตตัวผู้จะไม่ล่าเหยื่อ หน้าที่หุงหาอาหารเป็นหน้าที่ของตัวเมีย ในขณะที่ตัวผู้จะทำหน้าที่รักษาอาณาเขตปกป้องฝูง รอกินอาหารที่ตัวเมียล่ามาให้ ----- จากที่ยืมเลนส์เทเลโอลิมปัส m.zuiko 40-150mm f2.8 มาใช้ บวกกับ 1.4x converter และปุ่มซูมขยายที่มากับตัวกล้อง omd em10 mark3 นึกว่าจะได้เห็นหน้าสิงโตใกล้ๆ สรุปที่ระยะเลนส์ประมาณ 800mm ของกล้องฟูลเฟรม ก็ยังได้สิงโตออกมาตัวนิดเดียวเอง ใต้ต้นไม้นั่นน่าจะเป็นแรด ตอนกลางวันเจอได้ยากพอๆกับสิงโต

  • คาราเคา : caracal เป็นแมวป่าที่ถือว่าเป็น big cat แบบพวกเสือด้วย

  • ชีตาร์ : ความต่างของชีตาร์คือจะผอมเพรียวกว่าเสือดาว


สิงโตกับเสือดาว กลัวอะไรก่อนดี
  • สิงโต : ถ้าเจอสิงโตแล้วเราทำเป็นวางท่ากล้าแกร่ง มันจะไม่ค่อยยุ่งด้วย จะสังเกตได้ว่าสิงโตชอบยืนจ้องอยู่นานเพื่อหาว่าสัตว์ตัวไหนดูอ่อนแอที่สุดในฝูง จ้องจนเหยื่อรู้ตัว แล้วจู่โจมจากด้านหน้า นั่นแสดงว่าคุณจะมีโอกาสจ้องตาต่อรองกับมันก่อน

  • เสือดาว : ในขณะที่เสือดาว คุณจะไม่มีโอกาสใดๆเลย เพราะนิสัยในการล่าของมันคือซุ่มจากด้านหลัง รอให้เหยื่อเผลอแล้วกระโจนใส่ทันที ไม่เปิดโอกาสให้จ้องตาเลย เสือดาวขี้อาย ไม่ชอบจ้องตา ดังนั้นถ้าเจอเสือดาวด้านหน้าถือว่าโชคดี จ้องมันไว้มันจะไม่จู่โจม หันหลังเมื่อไหร่โดนแน่

ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางวันที่ร้อนๆ สัตว์จะรุมกันแน่น ถ้าเมื่อไหร่เห็นบ่อน้ำแต่ไม่เห็นสัตว์ แสดงว่าต้องมีผู้ล่ากำลังเตรียมจะออกล่าแน่ สัตว์อื่นเลยหนีกระเจิงอย่างตอนกลางคืน สัตว์อื่นจะไม่ค่อยออกมากินน้ำกันแล้ว มีแต่พวกสัตว์ที่กลางวันเจอตัวยากและพวกนักล่า คืนนั้นหลังจากที่พริมกางเตนท์เสร็จ มีเวลาว่างๆเลยเดินไปนั่งเฝ้าบ่อน้ำ

นั่งเงียบๆ ห้ามมีเสียงอะไรไปรบกวนให้สัตว์รู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะมันจะไม่ยอมออกมาให้ดู ระหว่างรอดูสัตว์ เลยดูดาวไปพลางๆ แสงสีส้มคือพริมกับคนข้างๆค่ะ แอบกระซิบคุยกัน บังทางกล้องไม่รู้ตัวเลย เค้าแบ่งกล้องส่งทางไกลให้พริมดูไฮยีน่าและตัว black backed jackel เหมือนหมาจิ้งจอกแต่มีหูยาวแหลม

  • แรด : ถ่ายดาวเล่นไปพลางๆระหว่างรอว่าสัตว์ตัวไหนจะหิวน้ำเดินออกมาอีก จนได้ยินเสียงคล้ายวัวร้องมาจากที่ไกลๆ แล้วแรดดำก็โผล่ออกมา พาลูกมากินน้ำด้วย แรดดำเจอง่ายกว่าแรดขาว แต่ก็ยังหายากอยู่ดี โครงหน้าต่างกันนิดหน่อย แต่สีของทั้งคู่คือสีเทาเหมือนกัน แรดจะมีอาณาเขตเดิมๆของตัวเอง วนเวียนอยู่แค่ที่นั้นๆ ทำให้มันถูกมนุษย์ล่าได้ง่าย

หลังจากแรดแม่ลูกเดินโชว์ตัวรอบบ่อน้ำก็หายเข้าไปในความมืด พริมเริ่มง่วงจึงเดินกลับเตนท์ สวนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ถามว่าเจออะไรบ้าง เลยบอกว่าแรด เค้าตื่นเต้นรีบวิ่งไปกันใหญ่ คืนนี้เลยเข้านอนแบบอิ่มอกอิ่มใจ ไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะมีเสียงคุยไปทั่วลานกางเตนท์ว่าเมื่อคืนดึกๆ มีเสือดาวด้วย 😠




 

Etosha Salt Pan


ทุ่งเกลือที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา ถ้าให้เทียบกับกรุงเทพอีกครั้ง ก็ประมาณ 3 เท่าของกรุงเทพ ที่นี่เคยเป็นทะเลสาบมาก่อน แต่แห้งจนเหลือแต่เกลือและแร่ธาตุต่างๆ โดยที่ผิวหน้าขาวเขียวด้านบนสุดคือแผ่นโคลนที่ถูกลมพัดจนแห้ง ตอนย่ำเท้าลงไปจึงแตกกร๊อบ หลายๆปีอาจจะมีฝนซักหน ถ้าตกหนักๆ น้ำฝนจะท่วมทุ่มเกลือเป็นชั้นบางๆ แล้ว etosha salt pan จะกลายเป็นแหล่งอาหารให้ฝูงฟลามิงโก

เห็นวิวว่างๆแล้วอยากถ่ายด้วยตลอด เลยตั้งกล้องกับพื้นแล้วเชื่อม wifi เข้ามือถือ เพื่อสามารถดูภาพสดๆจากกล้องระหว่างถ่ายได้เลย ชอบฟังชั่นนี้ใน olympus omd em10 mark3 มาก เหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว ชอบที่มีตัวเองปะปนไปกับวิวมากกว่าเป็นสายเซลฟี่

----- พอมีตัวนี้เลยไม่ต้องตั้งเวลาที่กล้อง 12 วิ แล้ววิ่งหน้าตั้งกลับมาเข้าเฟรมแล้ว



พืชที่เติบโตที่นี่จะมีหญ้าและต้นไม้โปร่งๆสไตล์สะวันนา โดยส่วนมากเป็นพุ่มไม้ที่มีใบน้อยกว่าหนาม หนามสีขาวแต่มองไกลๆเหมือนเป็นพุ่มไม้เงิน ออกดอกเล็กๆเป็นปุยสีเหลือง สัตว์ชอบกินโดยไม่สนใจความแหลมคม แต่พริมเข็ดพุ่มหนามตระกูล acacia มาก โดนเกี่ยวเลือดซิบมาหลายที




 

Camping Life

ลานกางเตนท์บางคืนมีนกยูง และนกสีแปลกๆป้วนเปี้ยนหลายตัว หลังจากกางเตนท์เสร็จจึงเดินไปหยิบกระเป๋า หันมาอีกที เตนท์ปลิวลงเนินไปแล้ว ทั้งที่มันหนักมาก ยกคนเดียวยังไม่ไหวเลย ดีว่าได้คนสิงค์โปร คนเยอรมัน และคนเกาหลีที่อยู่แถวนั้นช่วย ทุกคนมาคนเดียวเหมือนกัน วัยพอๆกับเรานี่แหละ คราวนี้ย้ายที่ตั้งใหม่ แต่หลบข้างต้นไม้ก็ไม่รอด สุดท้ายทุกคนเลยมากางเตนท์กระจุกรวมกันและตอกสมอบกซึ่งปกติไม่เคยต้องใช้


พริมได้ทำเลลาดลงเนิน หน้าทางเข้าเตนท์มีต้นไม้หนาม แถมใต้เตนท์มีหินก้อนใหญ่ จะไปขอแรงคนช่วยอีกก็เกรงใจ นอนๆไปละกัน คืนนี้ต้องปิดหน้าต่างสนิทไม่เหลือรูหายใจเพราะไม่อยากต้อนรับพายุทราย เสียงลมคำรามดังทั้งคืน ตื่นเช้ามาเลยพบว่าลมขโมยผ้าคลุมเตนท์หายไปทั้งผืนเลย ทั้งๆที่ผูกเงื่อนไว้กับโครงเตนท์ครบ 4 ทิศ

ขยับเข้าใกล้ทะเลทรายเข้าไปทุกคืน บางคืนจึงลดถึง 1 องศา ไม่มีเสื้อหนาวอุ่นๆ และ sleeping bag ที่เอามาใช้ก็เขียนว่าสำหรับ 10 องศา จึงต้องใส่เสื้อซ้อนกัน โดนมีชั้นหนึ่งเป็นเสื้อว่ายน้ำแขนยาว คิดไม่ผิดเลยที่หยิบมาใช้ เพราะเนื้อผ้าแบบชุดว่ายน้ำกันลมหนาวแทรกผ่านได้ยาก การนอนเตนท์ภายใต้อากาศหนาวๆมันทรมานตรงที่ดึกๆจะอยากเข้าห้องน้ำบ่อย แม้เราจะอดน้ำมาตั้งแต่มื้อเย็นก็หนีไม่พ้น ห้องน้ำอยู่ไกลมากเลย ทางเดินก็เป็นหินเป็นหนาม การนอนใต้ทะเลดาวอาจโรแมนติคไม่พอ จึงต้องแถมการห้องน้ำใต้แสงดาวเข้าไปด้วย หนาววว อากาศจะยิ่งหนาวสุดในช่วงเช้ามืด ตื่นขึ้นมาแบบตัวสั่น รีบแต่งตัวเร็วๆเพื่อออกมารับแดดข้างนอก หนาวจนใส่กางเกงกลับด้านไม่รู้ตัว

อากาศกึ่งทะเลทรายนี้แห้งมาก สระผมปุ๊บแป๊บเดียวแห้งเลย มีคืนนึงที่ภายในเตนท์มืดสนิท อยู่ๆพริมก็มองเห็นประกายสีฟ้าสว่างวาบออกมาจากมือทุกครั้งที่ลูบไปบน sleeping bag และผ้าปูโต๊ะที่เอามาปูรองเตนท์เลียนแบบผ้าปูเตียง มีพลังออกมาจากมือเหมือนเป็นยอดมนุษย์ คืนนั้นจึงนอนลูบดูไฟไปหลายที


คืนไหนได้กางเตนท์ห่างไกลชุมชนมากๆ ท้องฟ้าจะมืดสนิท ดาวเยอะมากจนสมควรเรียกว่าเป็นทะเลดาว ทางช้างเผือกก็สวยสว่างมองเห็นด้วยตาเปล่า อยากถ่ายเส้นทางดาวอีกแล้ว

รอบนี้ใช้วิธีตั้งกล้องไว้ไกลๆ ใช้เลนส์คิทตัวแบนๆ 14-42 ที่แถมมากับกล้อง เพราะได้ภาพกว้างสุดเท่าที่มีตอนนี้ เชื่อม wifi เข้ากับมือถือเพื่อควบคุมกล้องผ่านมือถือเช่นเคย แล้วจึงเดินถือไฟฉายไปยืนข้างๆเตนท์เพื่อให้กล้องหาจุดโฟกัสตอนกลางคืนได้ซะที เรากดโฟกัสผ่านการจิ้มจอมือถือ กดถ่าย แล้วจึงปิดไฟฉายลง รอเวลาให้หางดาวเริ่มลากยาวเป็นเส้นบนมือถือ แค่นี้ก็เรียบร้อย

  • รูปนี้ถ่ายด้วยโหมด live composite ที่ให้มากับโอลิมปัส omd em10 mark3 ไว้ถ่ายแสงที่เคลื่อนที่เช่น ดาวหมุน หรือไฟรถตอนวิ่ง ช่วยให้ฉากหลังไม่ over exposure เกินไป เพราะต้องเปิดหน้ากล้องนานๆเท่าการเคลื่อนที่ของดาว




 


Himba Tribe

นามิเบียมีหลายชนเผ่าอาศัยอยู่รวมกัน พริมด้แวะไปเยี่ยมหมู่บ้านเล็กๆของชาวฮิมบาทางตอนเหนือ ไม่ไกลจากเมือง Opuwo ซึ่งฮิมบาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้คุ้นเคยกับชาวเมืองดี เค้าสอนให้ลองทักทายแบบฮิมบา เป็นการจับมือที่เหมือนเล่นนางเงือกน้อยไปในตัว แล้วพูดว่า ...โมโร นาวา พีวีลี... พริมได้ทำแบบนี้กับแทบทั้งหมู่บ้านเลยค่ะ เพราะเดินผ่านบ้านไหนเค้าก็ออกมาจับมือ

หมู่บ้านตอนเช้า อากาศเย็นๆ แต่ผู้หญิงฮิมบาก็แต่งตัวด้วยกระโปรงหนังสัตว์สั้นๆเพียงอย่างเดียว ผู้ชายไม่เห็นเลยซักคน คงออกไปทำฟาร์มเลี้ยงแพะเลี้ยงวัวกันหมดแล้ว วัวถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่พวกเค้าเคารพยกย่อง เป็นตัวแทนของอาชีพการเป็นชาวไร่ การแต่งงานในบางเผ่าที่รวยๆ อาจเรียกวัวเป็นสินสอดถึง 7 ตัว หรือพอฟันแท้ของเด็กๆเริ่มขึ้น ก็จะมีการถอนฟันซี่ล่างด้านหน้าออกไปเพื่อให้สัญลักษณ์นี้สื่อถึงวัวที่ไม่ต้องใช้ฟันหน้า ด้วยความเชื่อที่ว่าจะได้ทำฟาร์มเก่งเหมือนกับวัว


เด็กๆทุกคนชอบโพสท่า ชอบเต้น เสียงเพลงคงดังในหัวของพวกเด็กๆอยู่แล้ว เป็นเพลงเร็วแน่ๆ พริมมองไปเลยเห็นเด็กๆเต้นกันสะบัดในความเงียบ

ในเผ่ามีผู้หญิงอยู่เยอะ ทำให้ผู้ชายฮิมบาสามารถมีภรรยาได้ถึง 5 คน จะแต่งตอนอายุเท่าไหร่ก็ได้ 10 ขวบก็มี ถึงจะผิดกฎหมายนามิเบีย แต่ก็เป็นสิ่งที่ชนเผ่าไม่ค่อยสนใจเพราะทำสืบกันมานาน

ผู้ชายฮิมบามีอาบน้ำบ้าง แต่พวกผู้หญิงจะไม่เคยอาบน้ำเลย

เค้าจะทำครีมดินตัวนึงขึ้นมาไว้ดูแลตัวเอง ใช้กับทั้งผิวและผม ทั้งป้องกันผิวจากความสกปรก กันยุง กันแดด เป็นน้ำหอม เป็นโลชั่นบำรุงผิว เคลือบผิว เคลือบผมไม่แห้งแตกจากสภาพอากาศแบบกึ่งทะเลทรายนี้ ตัวเดียวสารพัดประโยชน์ ส่วนผสมหลักเป็นดินสีแดงร่วมกับส่วนผสมอื่นๆจากธรรมชาติ ฮิมบาทั้งเผ่าเลยมีตัวสีแดงตั้งแต่ผมจรดปลายเท้า ตำๆในครก เติมน้ำ แล้วลองเอามาป้ายมือให้ด้วย แดงแจ๋




 

Spitzkoppe

เริ่มเข้าสู่ทะเลทรายแบบเต็มตัวแล้ว บรรยากาศสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สิบกว่าชั่วโมงบนรถบรรทุกไม่ชวนให้เบื่อ บางช่วงเห็นเป็นทรายสีเหลืองอ่อนกับพุ่มหนามเตี้ยๆ บางช่วงเป็นทรายสีส้ม บางช่วงเป็นทะเลทรายสีแดงกับกองตะปุ่มตะป่ำของหินตามพื้นโดยมีเขาหินเป็นฉากหลัง

สปิทซ์คอปป์ เป็นภูเขาอายุหลายร้อยล้านปี มีคนเรียกมันว่านี่คือ Matterhorn of Namibia

แต่จากใจคนที่ชอบ matterhorn พริมไม่เห็นว่าภูเขาตรงหน้าจะใกล้เคียงซักนิด

ไกด์ท้องถิ่นมาพาเดินดูรอบๆ มีภาพเขียนผนังหินของคนยุคก่อน รูปคนกับแรดสีแดงๆ เลือนลาง




 

Namib Desert

นามิบเนาคลุฟท์ เป็นชื่อเรียกรวมของอุทยาน มีเที่ยวดีๆอยู่หลายแห่ง รวมถึงทะเลทราย namib ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกด้วย ผู้ที่จะพาเราเที่ยววันนี้เป็นฝรั่งที่เชี่ยวชาญและสนใจเรื่องทะเลทรายเป็นอย่างมาก จึงสร้างครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่กับภรรยาชาวญี่ปุ่นเพราะอยากให้ลูกๆได้เรียนรู้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เขาเล่าเรื่องชีวิตในทะเลทรายให้ฟังหลายอย่าง ความแห้งของทะเลทรายทำให้แม้แต่ขยะธรรมชาติอย่างเปลือกผลไม้ก็ไม่มีอะไรช่วยย่อย ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะสลายไป เช่น เปลือกกล้วย 30 ปี ส้ม 60 ปี

อยู่ให้ห่างจากต้นไม้ที่ยืนต้นโดดๆไว้เพราะอาจถูกฟ้าผ่าและโดนเห็บรุมดูดเลือด

สอนไปถึงการเอาตัวรอดในทะเลทราย อยู่ให้ห่างจากต้นไม้ที่ยืนต้นโดดๆไว้เพราะอาจถูกฟ้าผ่าและโดนเห็บรุมดูดเลือด อยู่ให้ห่างจากทะเลทรายที่ดูดำๆ เพราะแสดงว่าบริเวณนั้นมีแร่เหล็กผสมอยู่เยอะ ตอนกลางวันก็จะร้อนพองได้ เค้าอาจแม่เหล็กมาดูดทรายให้ดูด้วย เม็ดทรายสีดำๆวิ่งกันวุ่น และหากเราหลงทางจริงๆ ขอให้อยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ เพราะถ้าเกาะเป็นกลุ่มสิบคน หาอะไรกินได้ก็ต้องแบ่งกันทั้งกลุ่ม เหลือไม่พอประทังชีวิตแน่นอน สัตว์ที่เจอในทะเลทรายจึงมักอยู่ตัวเดียวโดดๆ ทั้งที่จริงๆมันคือสัตว์สังคม


สัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย ร่างกายของมันถูกปรับให้อึกถึกทนกับสภาพอากาศและการขาดน้ำขาดอาหารแล้ว ถ้าจะโยกมันไปอยู่ในอุทยานอีโตชาที่มีอาหารการกินสมบูรณ์ ก็ถือว่าเป็นสวรรค์แก่ปากท้องเลย แต่ถ้าจะเอาสัตว์ในอุทยานมาไว้ที่นี่ ไม่มีหวัง

สัตว์ในทะเลทรายจะอยู่ตัวเดียวโดดเพื่อมีชีวิตรอด

ผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีคือมนุษย์ทะเลทราย bushmen ที่เรียกบุชเมนเพราะชอบซ่อนตัวตามพุ่มไม้แล้วยิงลูกดอกเพื่อล่า พวกบุชเมนมีพุงที่ใหญ่มากๆ ไว้เก็บตุนอาหารเหมือนกับสัตว์ในทะเลทรายที่นานๆจะได้กินทีบุชเมนแทบไม่ต้องการน้ำเลย เพราะได้น้ำจากการกินสัตว์สดๆอยู่แล้ว ชุ่มฉ่ำจากการดื่มเลือด ดื่มสมอง ดื่มไข่ดิบ ดื่มตา ถ้าไปทำให้สุกมันก็จะแห้ง เสียของ นี่ถ้าเราต้องติดอยู่ในทะเลทรายจริงๆ ไม่รู้เลยว่าจะทำใจกินพวกกิ้งก่าสดๆได้แบบนั้นมั้ย แต่เค้าก็เสนอทางเลือกใหม่ให้ คือ

กินเมล็ดพืชเมล็ดผลไม้ที่ปนมากับอึของ jackel

สัตว์ที่หน้าตาคล้ายจิ้งจอก เมื่อกระเทาะเปลือกมันออกมา ภายในจะมีเมล็ดให้กิน พริมลองชิมดู รสชาติมันๆ อร่อยดี คล้ายพวกเมล็ดฟักทองที่มีลำไส้ของจิ้งจอกช่วยคั่ว ฟังเรื่องบุชเมนแล้วก็รู้สึกทึ่ง น่าเสียดายที่คนกลุ่มนี้สาบสูญจากโลกไปเป็นร้อยปี




 

Fish Canyon

หุบเขาแห่งนี้ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแกรนด์แคนยอน พริมไม่มีโอกาสลงไปเดินข้างล่าง นอกจากจะไม่มีเวลาแล้ว ยังต้องขออนุญาตล่วงหน้าด้วย นักท่องเที่ยวทั่วไปเลยเดินดูแค่ด้านบน

ลองดูคนตั๋วเล็กจิ๋วในรูปเผื่อช่วยให้จินตนาการความใหญ่โตของที่นี่




 

Orange River

เมื่อคืนตั้งแคมป์กลางหุบเขาที่มีน้ำพุร้อนให้แช่ตัว อากาศเลยค่อนข้างอบอุ่น ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งได้แล้ว เป็นคนชอบพายแคนู แต่ทุกทีจะพายคนเดียว พอต้องมาพายทวนกระแสน้ำตลอดความยาว 10 กิโล แถมต้องพายกันเป็นคู่เลยแทบหมดแรง ตอนแรกพริมขอนั่งหน้าเพราะอยากถ่ายรูป แต่เหมือนจะไปไม่รอด เค้าบอกคนที่แรงเยอะกว่าควรนั่งหลังเพื่อคุมทิศทางเรือ จึงต้องปีนสลับที่นั่งกันกลางแม่น้ำนั้นเลย เค้าบอกไม่ต้องกลัว ในแม่น้ำสายนี้ไม่มีฮิปโป ----- คือฮิปโปเนี่ยขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายค่ะ บ้านเราอาจพูดว่าในน้ำมีจระเข้น่ากลัว แต่ที่แอฟริกาคือฮิปดุสุด

วิวรอบตัวทั้งสวยและสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย มีเพียงเรือของชาวบ้านพายออกมาหาปลาอยู่หนึ่งลำ พายผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มต่ำ แดดแรงจนตาพร่า บางช่วงจึงพายไปเรื่อยๆแบบไม่เห็นทาง


ไกด์บอกให้เร่งฝีพายกันหน่อย ช้ากว่านี้ลมจะแรง แล้วก็เป็นจริงตามนั้น น้ำที่เคยนิ่งกลายเป็นริ้วๆตามแรงลม พายเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซักที 10 กิโลไกลเหลือเกินเมื่อต้องมาพายทวนกระแสนน้ำเชี่ยวๆแบบนี้




 


Walvis Bay

กลิ่นชายทะเลลอยมากับลม วอลวิส เบย์ แปลว่าอ่าววาฬในภาษาแอฟริกัน เห็นตัวอะไรสีเทาๆกระโดดน้ำเล่น มีคนตะโกนมาว่าโลมาๆ ในใจก็นึกสงสัยว่าที่มันโดดน้ำเล่นนั่นมันริมชายหาดเลยนะ ความสูงของน้ำน่าจะไม่พ้นขาคน แต่ใจที่อยากดูโลมาก็กระโจนเชื่อไปเรียบร้อย กดปุ่มส่องทางไกลในกล้องดู ก็เห็นมันโดดไปโดดมาไม่หยุด ไวมาก แยกไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่แล้วก็มีคนมาเฉลยว่านั่นแมวน้ำ

  • pelican : นกเพลิแคนลอยผ่านมาเหมือนหุ่นยนต์ มันหน้านิ่งตัวแข็งกันไปทั้งฝูงเหมือนไม่มีชีวิต มีเพียงลมที่พัดให้ขนขยับและพัดให้ผิวน้ำส่ายเป็นริ้วๆ

  • flamingo : ไกลลิบทางด้านนู้นเป็นฟลามิงโก พยายามเดินไปหามัน แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ฝูงฟลามิงโกเป็นหมื่นตัวนั่นก็เหมือนจะเคลื่อนตัวห่างไปเรื่อยๆ ยิ่งตามยิ่งหนีกันอยู่แบบนั้นจนซูมสุดเลนส์ถ่ายมาเท่าที่จะไหวเพราะต้องรีบไปแล้ว

พริมตั้งใจจะกลับขึ้นฝั่งโดยเดินตัดชายหาดบริเวณนี้ไป โซนที่เป็นทรายมีแมงกะพรุนตัวใหญ่เป็นฟุต สีแดงสดคล้ายก้อนหัวใจสัตว์กระจายอยู่เต็ม พอถึงโซนที่เป็นโคลน กลิ่นตะไคร่น้ำที่คาวเหมือนหอยนางรมก็โชยขึ้นมาจากโคลน

เมื่อก้าวเท้าลงไปในโคลนก็ถูกดูดติดหนึบทันที

ทั้ง 2 เท้าเดินต่อไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ พยายามจะยกเท้าขึ้นมาทีไร ก็หลุดขึ้นมาแต่เท้า รองเท้าฝังอยู่ในโคลน โงนเงนอยู่นานกว่าจะหนีออกมาได้ นึกว่าจะล้มกลิ้งไปกับโคลนซะแล้ว บนฝั่งด้านบนเหมือนมีคนมายืนให้กำลังใจตะโกนบอกทาง พอกลับขึ้นไปได้ คนขำกันใหญ่



 


Swakopmund

สวาคอปมุน เมืองทะเลทรายชายทะเลสีสันน่ารัก เรียกว่าเป็นเมืองเดียวที่ได้เดินเล่น อาคารบ้านเรือนบางหลังเป็นแบบโคโลเนียล บางหลังเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบ Mid-Century Modern เลยคิดว่าคงได้อิทธิพลจากตอนเป็นเมืองขึ้นของเยอรมัน

หน้าตาแบบนี้น่าจะโมเดิร์นสุดแล้วในยุค 50's-60's เห็นหน้าตาบางตึกแล้วคำว่า Bauhaus แวบขึ้นมาเลยค่ะ คลาสสิคจนเหมือนถูกสตาฟฟ์เอาไว้ เดินเล่นในเมืองนี้ไม่รู้สึกเลยว่าเลยปี 2000 มานานเท่าไหร่แล้ว

ที่สวาคอปมุนมีกิจกรรมหลายอย่าง พริมเลือกเป็น quad biking เพราะเห็นโฆษณาไว้ว่าจะได้ขี่รถไต่บนเนินทรายที่สูงที่สุดในโลก แต่โชคร้ายที่เช้าวันนั้นอากาศลดฮวบลงมาหผิดไปจากทุกวัน เราไม่มีถุงมือเลยเอาถุงเท้ามาสวมแทนป้องกันมือชา ไกด์เห็นก็ขำใหญ่ แล้วเค้าก็เอาหมวกกันน็อคมาให้พร้อมหมวกคลุมผมเหมือนคนไปสปา ลูกไม้กับหมวกกันน็อค 55 แล้วไกด์ก็ขับนำออกไป ตามด้วยสาวเยอรมัน และพริมขี่ปิดคนสุดท้าย ฉวัดเฉวียนไต่ขึ้นลงเนินทรายไปจนถึงริมทะเล เป็น 90 นาทีที่สนุกมาก




 

Windhoek


การเดินทางครั้งนี้แทบไม่ได้เที่ยวเมืองใหญ่เลย เมืองหลวงของนามิเบียอย่าง windhoek วินดุก ก็เป็นแค่ทางผ่าน จำได้ว่าสภาพบ้านเมืองยังดูโล่งๆแบนเป็นระนาบ ตึกสูงมีไม่มาก ออกแนวอ้วนๆ ตั้งห่างๆ พื้นที่เหลือเฟือ เมืองวินดุกนี้มีหลายตึกที่สร้างโดยเกาหลีเหนือ ไม่เว้นแม้แต่พิพิธภัณฑ์สำคัญหรือโรงงานผลิตอาวุธ นามิเบียและเกาหลีเหนือเคยมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันก่อนที่เกาหลีเหนือจะโดนประเทศมหาอำนาจคว่ำบาตรและกดดันให้หลายๆประเทศในแอฟริกายุติความสัมพันธ์อันยอง ตอนนั้นนามิเบียเพิ่งได้อิสรภาพจากแอฟริกาใต้ใหม่ๆ เลยต้องการสร้างกองกำลังของตัวเอง เกาหลีเหนือจึงมาช่วยฝึกทหารให้นามิเบีย แลกกับการที่นามิเบียต้องขายแร่ยูเรเนียมให้เกาหลีเหนือ เอาแร่ไปทำอะไรคงรู้กันอยู่แล้ว


No more game drive. It’s a time for game grill!

นามิเบียเป็นประเทศที่นักล่าสัตว์เพื่อความบรรเทิง trophy hunting ใฝ่ฝัน เพราะเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่มีหนทางให้คุณล่า big 5 ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เสือดาว สิงโต ฮิปโป แรด ช้าง หรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ ใบอนุญาตมีขายเป็นแพคเกจ พรานกี่คน ไปกี่วัน เช่าปืนมั้ย นำของที่ระลึกจากการล่าหรือซากสัตว์ออกนอกนามิเบียได้กี่ส่วน แต่ประเทศของคุณจะยอมให้นำเข้ามั้ยนั่นอีกเรื่อง



 

Tropic of Capricorn


เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าสะอาดเรียบตามเคย พริมเดินทางลงใต้มาเรื่อยๆจนผ่านหนึ่งในเส้นรุ้งสำคัญ Tropic of Capricorn ชื่อนี้คุ้นหูมาตั้งแต่เรียนภูมิศาสตร์สมัยเด็กๆ แสดงว่าเราลงมาถึงจุดใต้สุดที่พระอาทิตย์จะส่องตรงกับหัวแล้วค่ะ ทริปนี้พริมไม่ไดจบแค่นามิเบีย แต่ลงใต้ต่อไปยังแอฟริกาใต้ค่ะ




 

สำหรับคนที่เริ่มอยากไป ตามไปอ่าน 10 ข้อที่อยากให้รู้ก่อนไปนามิเบีย ได้เลยค่ะ เดือนไหนสวยสุด บินลงไหนคุ้มสุด เดินทางในนามิเบียแบบไหนดี งบเท่าไหร่ วีซ่า และวัคซีน




Comments


bottom of page